“จุรินทร์” สั่งเดินหน้าทศวรรษส่งเสริมการอ่านชาติเห็นให้ผลใน 3 ปี พร้อมตั้งคณะทำงาน 2 ชุด ดูความชัดเจนโครงการส่งเสริมการอ่าน ปรับปรุงมาตรการเสียภาษี ผู้ชื่อ บริจาค หนังสือนำใบเสร็จหักลดหย่อนภาษีได้ ลั่นใน 2 สัปดาห์ได้ข้อสรุปดำเนินการ ก่อนเรียกประชุมอีกครั้ง 1 ต.ค.นี้ ด้านนายกสมาคมผู้จัดพิมพ์ จำหน่ายหนังสือ ชี้ปรับมาตรการภาษีช่วยคนเข้าถึงหนังสือมากขึ้น
วันนี้ (16 ก.ย.) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการอ่านว่า ที่ประชุมได้กำหนดเป้าหมายในการส่งเสริมการอ่าน ที่จะให้เห็นผลภายใน 3 ปี (2553-2555) ดังนี้ 1.ประชากรวัยแรงงานต้องรู้หนังสือและสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ จากร้อยละ 92.21 เป็นร้อยละ 99 2.ผู้มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไปต้องอ่านออกเขียนได้จากร้อยละ 92.64 เป็นร้อยละ 95 3.คนไทยต้องอ่านหนังสือเพิ่มขึ้นจากเดิมคนละ 5 เล่มต่อปี เป็นคนละ 10 เล่มต่อปี 4.ต้องมีการเพิ่มแหล่งการอ่านและการให้บริการที่ครอบคลุมทุกตำบล/ชุมชน และ 5.สร้างภาคีเครือข่ายเพื่อปลูกฝังนิสัยรักการอ่านอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนทั้งปริมาณและคุณภาพ
ทั้งนี้ มติจากที่ประชุมได้ตั้งคณะทำงาน 2 ชุด โดยชุดแรกเป็นคณะทำงานเพื่อทำหน้าที่ในการทำแผนปฏิบัติระยะยาวตั้งแต่ปี 2552-2561 โดยระหว่างที่กำหนดแผนระยะยาวนั้นให้ดำเนินแผนการระยะสั้นในปี 2552-2553 ควบคู่กันไปโดยเน้นให้ลงลึกในการจัดทำโครงการที่จะดำเนินการให้มีความชัดเจนว่าจะมีโครงการอะไรบ้างเพื่อการส่งเสริมการอ่านแก่คนไทย ซึ่งขณะนี้คณะอนุกรรมการได้เสนอมาแล้วกว่า 32 โครงการ อาทิ โครงการส่งเสริมให้พ่อแม่อ่านหนังสือให้ลูกฟังตั้งแต่ 6 เดือน, โครงการสะสมแต้มการอ่าน, โครงการคาราวานการอ่านสู่ครอบครัว เป็นต้น ซึ่งคณะทำงานชุดดังกล่าวจะเป็นผู้พิจารณาว่าโครงการใดเหมาะสม รวมถึงมอบหมายว่าจะให้ใครเป็นผู้รับผิดชอบ พร้อมทั้งงบประมาณที่ต้องใช้ดำเนินการ ทั้งนี้ได้มอบหมายให้ ดร.สุขุม เฉลยทรัพย์ ประธานที่ปรึกษาอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต เป็นประธานคณะทำงานชุดนี้
นายจุรินทร์ กล่าวต่อว่า ส่วนคณะกรรมการชุดที่ 2 คือ คณะกรรมการปรับปรุงมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการอ่าน โดยมี นายเกียรติชัย พงษ์พาณิชย์ เป็นประธานคณะทำงาน เพื่อให้ดูว่าจำเป็นต้องมีการปรับภาษีในด้านใดบ้างเพื่อส่งเสริมให้มีการอ่านมากขึ้น เช่น การซื้อหนังสือเพื่ออ่านและบริจาคเป็นไปได้หรือไม่ที่จะนำใบเสร็จไปหักลดหย่อนภาษีได้ หรือกรณีนิติบุคคลที่ประสงค์จะซื้อหนังสือบริจาค ซึ่งปัจจุบันหักค่าใช้จ่ายได้ในส่วนของการบริจาคให้กับโรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และ สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) แต่หักได้ไม่เกิน 2 เท่า เป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีการปรับปรุงยอดหักให้มากขึ้น รวมทั้งสามารถขยายหน่วยงานที่จะบริจาคให้มากขึ้น เป็นต้น ทั้งนี้ ในส่วนข้อสรุปจะได้นำเสนอต่อที่ประชุมครม. เพื่อพิจารณาต่อไป โดยคณะทำงานทั้ง 2 ชุดจะต้องดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายใน 2 สัปดาห์และรายงานผลให้ตนทราบในการประชุมครั้งต่อไปในวันที่ 1 ตุลาคมนี้
ด้าน นางริสรวล อร่ามเจริญ นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การปรับปรุงมาตรการภาษีจะเป็นมาตรการที่ช่วยเติมเต็มหนังสือเข้าสู่ระบบสาธารณะมากขึ้น และทำให้คนที่ไม่มีความสามารถในการซื้อหนังสือได้เข้าถึงหนังสือมากขึ้น ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมการอ่านเป็นวาระแห่งชาติตามนโยบายของรัฐบาลได้สำเร็จ.