รายงานโดย วรรณภา บูชา
1 ก.ย.2552 ที่ผ่านมา...คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้ขยายความคุ้มครองคู่สมรสที่จดเบียน และบุตร ตามกฎหมายของผู้ประกันตนจำนวน 5.8 ล้านคน จากระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าไปใช้สิทธิประกันสังคม ทำให้เกิดคำถามตามมาว่า ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในครั้งนี้นั้น มีข้อดีข้อเสียอย่างไร หรือประชาชนได้ประโยชน์จริงหรือไม่
ทั้งนี้ เนื่องจากหากพิจารณาสิทธิประโยชน์ด้านการรักษาพยาบาลแล้วทั้ง 2 ระบบ ถือว่ายังมีความเหลื่อมล้ำกันอยู่มาก โดยเฉพาะสิทธิของการรักษาพยาบาลของประกันสังคมบางส่วนยังด้อยกว่าสิทธิที่ได้จากหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า
ยกตัวอย่างเช่นในเรื่องการดูแลรักษาผู้ป่วยไตวายเรื้อรังของ สปสช.ที่ส่งเสริมให้ผู้ป่วยล้างไตผ่านช่องท้อง ผู้ป่วยสามารถทำได้ด้วยตนเองที่บ้าน ไม่ต้องมาโรงพยาบาลไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางเพราะมีเจ้าหน้าที่ส่งน้ำยาล้างไตให้ถึงบ้าน ขณะที่ สปส.ให้ความสำคัญกับการล้างไตด้วยเครื่องไตเทียมมากกว่า และแม้ว่าจะมีหน่วยบริการล้างไตผ่านช่องท้อง แต่ก็อาจจะไม่มีระบบส่งน้ำยาล้างไตให้ถึงบ้าน
หรือในกรณีของผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ผู้ป่วยบัตรทองมีโอกาสเข้าถึงการรักษาและยารักษามากกว่า เพราะผลการประกาศบังคับใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตรโดยรัฐ (ซีแอล) นอกจากนี้ยังให้บริการรากฟันเทียมและข้อเข้าเทียม หรือแม้แต่การได้รับค่าชดเชยความเสียหายเบื้องต้นทางการแพทย์และสาธารณสุข ตามมาตรา 41 ตาม พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 สูงสุดถึง 2 แสนบาท ซึ่งในระบบประกันสังคมไม่มีตรงจุดนี้
อย่างไรก็ตาม หากถามว่า ใครจะได้ประโยชน์มากที่สุด จากการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ คงต้องต้นหาคำตอบจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
“สุบิล นกสกุล” ประธานชมรมเพื่อนโรคไต มองว่า ผู้ป่วยบัตรทองมีสิทธิในการรักษาพยาบาลที่ดีอยู่แล้ว ตัวอย่างที่ชัดคือสิทธิประโยชน์การรักษาโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายเพราะมีผู้ป่วยไตวายอีกจำนวนมากที่ยังไม่ได้รับการดูแลแม้จะเป็นผู้ประกันตนและเสียเงินทุกเดือน เนื่องจากต้องมีการพิสูจน์ก่อน อีกทั้งหากโอนไปให้ประกันสังคมจะมีปัญหาว่ารัฐบาลจะนำเงินมาจากส่วนไหน ดังนั้น จึงยังไม่เห็นประโยชน์จากนโยบายนี้ของรัฐบาล เพราะหากรัฐบาลต้องการให้แต่ละกองทุนมีการรักษาพยาบาลที่เท่าเทียมกันจริงๆ รัฐบาลควรตัดสินใจรวมกองทุนเลยดีกว่าหรือไม่
เช่นเดียวกับ “นิมิตร์ เทียนอุดม” ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายนี้ของรัฐบาลอย่างยิ่ง เนื่องจากมองว่า สปส.ไม่มีความสามารถในการบริหารจัดการในเรื่องการดูแลสุขภาพของประชาชนโดยเฉพาะ ทำให้ผู้ประกันตนไม่ได้รับการดูแลที่ดี เพราะต้องดูแลสิทธิประโยชน์หลายเรื่อง ดังนั้น แทนที่จะขยายสิทธิด้านการรักษาพยาบาลควรจะเพิ่มสิทธิประโยชน์อื่นๆ ของผู้ประกันตน เช่น ขยายวงเงินในระบบกองทุนชราภาพให้มีศักยภาพในการดูแลผู้ประกันตนยามชราได้จริง อาจเป็นประโยชน์กับผู้ประกันตนมากกว่า หรือกรณีผู้ประกันตนได้รับการเจ็บป่วยจากการประกอบอาชีพ ซึ่งมักจะไม่ได้รับการสนใจอย่างจริงจัง
ทั้งนี้ การดูแลสุขภาพควรเป็นหน้าที่ขององค์กรที่ดูแลเฉพาะเพื่อให้เป็นไปในมาตรฐานเดียวกัน ซึ่ง สปสช.สามารถที่จะบริหารจัดการได้ดีกว่าอย่างแน่นอน
“ผู้ที่ได้รับประโยชน์อย่างแน่นอนคือ โรงพยาบาลเอกชน ที่เป็นคู่สัญญากับประกันสังคม เพราะกลุ่มผู้ที่จะย้ายไปอยู่ประกันสังคมเป็นหนุ่มสาวที่ยังมีสุขภาพแข็งแรง ทำให้โรงพยาบาลเอกชนได้ค่าหัวเพิ่มขึ้น โดยที่คนกลุ่มนี้อาจไม่เคยเข้าไปใช้บริการเลย ขณะที่ สปสช.ต้องแบกรับภาระผู้อายุที่มีอัตราการป่วยด้วยโรคที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูง อีกทั้งน่าสงสัยว่า ระบบการบริการจัดการของ สปส.สามารถตรวจสอบได้ยากอาจเป็นช่องทางให้เกิดกรณีการทุจริตได้ง่าย กลายเป็นการเตะหมูเข้าปากหมา มีโอกาสที่จะเกิดการฉวยประโยชน์จากเงินกองทุนได้อย่างง่ายๆ หรือไม่ เนื่องจากบอร์ด สปส.ไม่มีความเข้มแข็ง ตัวแทนแรงงานเองก็ไม่มีความความเข้าใจในสิทธิของตนอย่างแท้จริง”
นิมิตร์ ให้ความเห็นทิ้งท้ายว่า หากรัฐบาลมองว่า นโยบายนี้จะเป็นการได้คะแนนเสียงจากประชาชน ถือเป็นความคิดที่ผิด แทนที่จะได้คะแนนน่าจะเสียคะแนนมากกว่าเพราะแสดงถึงความไม่เข้าใจระบบการรักษาสุขภาพของประเทศ ไม่รู้จุดเด่นจุดด้อยของระบบสุขภาพของแต่ละกองทุน