สพฉ.ลงนามทำประกันอุบัติเหตุกลุ่มกับ บจม.ทิพยประกันภัย ให้หน่วยกู้ชีพทั่วประเทศกว่า 1 แสนคน กรณีเสียชีวิต พิการ ร่วมโครงการตามความสมัครใจรวมจ่ายแค่ 100 บาท คุ้มครองวงเงิน 2 แสนบาท หวังสร้างขวัญกำลังใจ พัฒนาระบบการแพทย์ฉุกเฉิน ผู้ป่วยได้รับการช่วยเหลือฉับไว
วันที่ 24 สิงหาคม ที่ห้องประชุมชัยนาทนเรนทร ตึกสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานในการพิธีลงนามความร่วมมือระหว่าง นพ.ชาตรี เจริญชีวะกุล เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) กับ นายมารุต สิมะเสถียร กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ตามโครงการ “การดำเนินงานประกันอุบัติเหตุกลุ่ม สำหรับผู้ปฏิบัติการในระบบการแพทย์ฉุกเฉิน”โดยมีเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครกู้ชีพ รวม จำนวน 100 คน ร่วมเป็นสักขีพยาน
นายวิทยา กล่าวว่า สถานการณ์การเกิดอุบัติเหตุและความรุนแรงมีมากขึ้น ทั้งสาเหตุที่มาจากมนุษย์และภัยธรรมชาติ เช่น อุบัติเหตุจราจร ไฟไหม้ ตึกถล่ม สารเคมีรั่ว น้ำท่วม แผ่นดินไหวและสึนามิ เหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้ก่อให้เกิดความสูญเสียอย่างมหาศาล ระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉิน เป็นระบบที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง ในการช่วยเหลือทางการแพทย์แก่ประชาชนเมื่อเจ็บป่วยฉุกเฉินหรือเกิดอุบัติเหตุ หน่วยกู้ชีพ จะเป็นบุคลากรกลุ่มแรกๆ ที่เข้าไปยังจุดเกิดเหตุ และต้องปฏิบัติการช่วยชีวิตผู้ประสบอุบัติเหตุจนคนสุดท้าย
นายวิทยา กล่าวต่อว่า การทำประกันอุบัติเหตุกลุ่ม สำหรับผู้ปฏิบัติการในระบบการแพทย์ฉุกเฉิน ทั้งบุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่ อาสาสมัคร ซึ่งสังกัดโรงพยาบาล มูลนิธิ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานต่างๆ มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการสร้างขวัญกำลังใจและสร้างความอุ่นใจให้กับผู้ปฏิบัติงานในระบบการแพทย์ฉุกเฉินและครอบครัว ซึ่งเป็นผู้มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุในระหว่างเข้าช่วยเหลือผู้บาดเจ็บได้ นอกจากนี้ ทำให้ผู้เจ็บป่วยฉุกเฉินได้รับการช่วยเหลือและรักษาพยาบาลที่มีประสิทธิภาพและทันต่อเหตุการณ์
ด้าน นพ.ชาตรี เจริญชีวะกุล เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ กล่าวว่า สพฉ.ได้ประสานกับบริษัทประกันภัย หลายแห่ง เพื่อดำเนินการให้มีการประกันอุบัติเหตุกลุ่มแก่ผู้ปฏิบัติการในระบบการแพทย์ฉุกเฉิน โดยบริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ได้เสนอเป็นผู้รับทำประกันอุบัติเหตุกลุ่ม ด้วยทุนประกันภัยสองแสนบาทต่อคน สำหรับบุคลากรที่ปฏิบัติงานการแพทย์ฉุกเฉินทั่วประเทศ จำนวน 90,949 คน โดยรูปแบบการประกันชีวิตกลุ่ม ในลักษณะร่วมจ่ายจากผู้ประกันชีวิต จำนวน 100 บาทโดยสมัครใจ ซึ่งเงินเบี้ยประกันอีกส่วนหนึ่ง จำนวน 100 บาท บริษัท ทิพยประกันภัยจำกัด (มหาชน) เป็นผู้สนับสนุน เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของความรับผิดชอบขององค์กรในการคืนกำไรให้กับสังคม
“จากการได้หารือกับผู้ปฏิบัติงานในโอกาสต่างๆ สพฉ.ได้รับทราบความกังวลกับการปฏิบัติงานที่มีความเสี่ยงมากขึ้น เช่น การเกิดอุบัติเหตุกลุ่มชน ภัยธรรมชาติ ที่สำคัญการปฏิบัติการของหน่วยกู้ชีพ ถือว่ามีความเสี่ยงต่อชีวิตและการบาดเจ็บระหว่างการปฏิบัติงานในสภาพแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัย แต่มักไม่ได้รับการเหลียวแลช่วยเหลือ” นพ.ชาตรีกล่าว
นพ.ชาตรี กล่าวอีกว่า สำหรับเงื่อนไขในการคุ้มครอง หากผู้ปฏิบัติงานเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ สายตา การรับฟังเสียง การพูดออกเสียง หรือทุพพลภาพถาวร รวมถึงมีการขยายความคุ้มครองกรณีการขับขี่ หรือโดยสารรถจักรยานยนต์ การถูกฆ่าหรือถูกทำร้ายร่างกาย และการจลาจล การนัดหยุดงาน จะได้รับค่าชดเชย ตามเงื่อนไขที่กำหนด เช่น หากเสียชีวิตจะได้รับการชดเชย เต็มวงเงิน 100% แต่หากสูญเสียอวัยวะข้างใดข้างหนึ่งจะได้รับการชดเชย 50% เป็นต้น อย่างไรก็ตาม การคุ้มครองดังกล่าวไม่รวมการรักษาพยาบาล และภัยที่เกิดจากการก่อการร้าย
วันที่ 24 สิงหาคม ที่ห้องประชุมชัยนาทนเรนทร ตึกสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานในการพิธีลงนามความร่วมมือระหว่าง นพ.ชาตรี เจริญชีวะกุล เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) กับ นายมารุต สิมะเสถียร กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ตามโครงการ “การดำเนินงานประกันอุบัติเหตุกลุ่ม สำหรับผู้ปฏิบัติการในระบบการแพทย์ฉุกเฉิน”โดยมีเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครกู้ชีพ รวม จำนวน 100 คน ร่วมเป็นสักขีพยาน
นายวิทยา กล่าวว่า สถานการณ์การเกิดอุบัติเหตุและความรุนแรงมีมากขึ้น ทั้งสาเหตุที่มาจากมนุษย์และภัยธรรมชาติ เช่น อุบัติเหตุจราจร ไฟไหม้ ตึกถล่ม สารเคมีรั่ว น้ำท่วม แผ่นดินไหวและสึนามิ เหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้ก่อให้เกิดความสูญเสียอย่างมหาศาล ระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉิน เป็นระบบที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง ในการช่วยเหลือทางการแพทย์แก่ประชาชนเมื่อเจ็บป่วยฉุกเฉินหรือเกิดอุบัติเหตุ หน่วยกู้ชีพ จะเป็นบุคลากรกลุ่มแรกๆ ที่เข้าไปยังจุดเกิดเหตุ และต้องปฏิบัติการช่วยชีวิตผู้ประสบอุบัติเหตุจนคนสุดท้าย
นายวิทยา กล่าวต่อว่า การทำประกันอุบัติเหตุกลุ่ม สำหรับผู้ปฏิบัติการในระบบการแพทย์ฉุกเฉิน ทั้งบุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่ อาสาสมัคร ซึ่งสังกัดโรงพยาบาล มูลนิธิ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานต่างๆ มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการสร้างขวัญกำลังใจและสร้างความอุ่นใจให้กับผู้ปฏิบัติงานในระบบการแพทย์ฉุกเฉินและครอบครัว ซึ่งเป็นผู้มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุในระหว่างเข้าช่วยเหลือผู้บาดเจ็บได้ นอกจากนี้ ทำให้ผู้เจ็บป่วยฉุกเฉินได้รับการช่วยเหลือและรักษาพยาบาลที่มีประสิทธิภาพและทันต่อเหตุการณ์
ด้าน นพ.ชาตรี เจริญชีวะกุล เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ กล่าวว่า สพฉ.ได้ประสานกับบริษัทประกันภัย หลายแห่ง เพื่อดำเนินการให้มีการประกันอุบัติเหตุกลุ่มแก่ผู้ปฏิบัติการในระบบการแพทย์ฉุกเฉิน โดยบริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ได้เสนอเป็นผู้รับทำประกันอุบัติเหตุกลุ่ม ด้วยทุนประกันภัยสองแสนบาทต่อคน สำหรับบุคลากรที่ปฏิบัติงานการแพทย์ฉุกเฉินทั่วประเทศ จำนวน 90,949 คน โดยรูปแบบการประกันชีวิตกลุ่ม ในลักษณะร่วมจ่ายจากผู้ประกันชีวิต จำนวน 100 บาทโดยสมัครใจ ซึ่งเงินเบี้ยประกันอีกส่วนหนึ่ง จำนวน 100 บาท บริษัท ทิพยประกันภัยจำกัด (มหาชน) เป็นผู้สนับสนุน เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของความรับผิดชอบขององค์กรในการคืนกำไรให้กับสังคม
“จากการได้หารือกับผู้ปฏิบัติงานในโอกาสต่างๆ สพฉ.ได้รับทราบความกังวลกับการปฏิบัติงานที่มีความเสี่ยงมากขึ้น เช่น การเกิดอุบัติเหตุกลุ่มชน ภัยธรรมชาติ ที่สำคัญการปฏิบัติการของหน่วยกู้ชีพ ถือว่ามีความเสี่ยงต่อชีวิตและการบาดเจ็บระหว่างการปฏิบัติงานในสภาพแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัย แต่มักไม่ได้รับการเหลียวแลช่วยเหลือ” นพ.ชาตรีกล่าว
นพ.ชาตรี กล่าวอีกว่า สำหรับเงื่อนไขในการคุ้มครอง หากผู้ปฏิบัติงานเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ สายตา การรับฟังเสียง การพูดออกเสียง หรือทุพพลภาพถาวร รวมถึงมีการขยายความคุ้มครองกรณีการขับขี่ หรือโดยสารรถจักรยานยนต์ การถูกฆ่าหรือถูกทำร้ายร่างกาย และการจลาจล การนัดหยุดงาน จะได้รับค่าชดเชย ตามเงื่อนไขที่กำหนด เช่น หากเสียชีวิตจะได้รับการชดเชย เต็มวงเงิน 100% แต่หากสูญเสียอวัยวะข้างใดข้างหนึ่งจะได้รับการชดเชย 50% เป็นต้น อย่างไรก็ตาม การคุ้มครองดังกล่าวไม่รวมการรักษาพยาบาล และภัยที่เกิดจากการก่อการร้าย
