xs
xsm
sm
md
lg

“จุรินทร์” ทุ่ม 1.8 หมื่น ล.ดัน 6 ภารกิจพัฒนา “อาชีวะ”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

จัดยิ่งใหญ่ 68 ปี อาชีวะ “จุรินทร์” เตรียมผลักดัน 6 ภารกิจ พร้อมทุ่มงบไทยเข้มแข็ง 1.8 หมื่นล้าน พัฒนาอาชีวะ เร่งยกระดับวิทยาลัยอาชีวศึกษาเป็นสถาบัน จัดทำกรอบมาตรฐานคุณวุฒิอาชีวศึกษา เน้นความเป็นเลิศวิชาการ ประยุกต์ใช้เทคโนโลยี มีทักษะผู้นำ ผู้ตาม ยกระดับสัดส่วนเด็กเรียนสายอาชีพ สายสามัญ ให้ได้ครึ่งต่อครึ่ง และจัดตั้งสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพวัดสมรรถนะเด็ก

วันนี้ (21 ส.ค.) เมื่อเวลา 14.00 น.ที่ห้องบางกอกคอนเวนชั่น ฮอลล์ เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) จัดงาน “ 68 ปี อาชีวะไทย ก้าวไกลสู่อนาคต” โดย นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รมว.ศึกษาธิการ กล่าวตอนหนึ่งในการเปิดงาน “68 ปี อาชีวะไทย ก้าวไกลสู่อนาคต” ว่า ก้าวสู่ปีที่ 69 สอศ.มีภารกิจร่วมกันที่ต้องสนองตอบต่อทิศทางการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่ 2 ซึ่งได้กำหนดให้ในช่วง 10 ปี จากนี้คนไทยทุกคน ต้องได้เรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีคุณภาพ มุ่งเน้นพัฒนายกระดับคุณภาพการศึกษาและขยายโอกาสทางการศึกษา ตลอดจนแสวงหาความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในสังคม เพื่อไปสู่เป้าหมายดังกล่าว สอศ.มีภารกิจที่จะต้องดำเนินการใน 6 ข้อ ดังนี้ 1.ปฏิรูปการอาชีวศึกษาเพื่อเดินหน้าสู่คุณภาพ ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้จัดสรรงบประมาณในโครงการภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่ 2 (เอสพี 2) ให้ สอศ.18,000 ล้านบาท เพื่อพัฒนาการอาชีวศึกษาให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด 2.เร่งจัดตั้งสถาบันการอาชีวศึกษา 19 แห่ง โดยรวมวิทยาลัยในสังกัด สอศ.ที่มีกว่า 400 แห่งไว้ด้วยกัน 3.ต้องจัดทำกรอบมาตรฐานคุณวุฒิอาชีวศึกษา หรือ TQF สำหรับการศึกษาในระดับอุดมศึกษา โดยกำหนดเป้าหมายว่าสถาบันการอาชีวศึกษาที่จะเกิดขึ้น จะต้องผลิตนักศึกษาให้ได้คุณภาพหรือผลิตบัณฑิตในอุดมคติ เพื่อออกไปรับใช้สังคมอย่างมีประสิทธิภาพ โดยผู้จบจากอาชีวศึกษา ต้องมีความเป็นเลิศทางวิชาการในสาขาวิชาที่เรียน สามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงานจริงได้ มีทักษะของความเป็นผู้นำ ผู้ตาม และทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ พร้อมทั้งมีทักษะในการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อให้ทันกับโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่ารวดเร็ว ซึ่งสถาบันการอาชีวศึกษาจะต้องยึดถือปฏิบัติตามกรอบให้ได้ มิฉะนั้น จะได้กรอบแต่ไม่ได้เนื้อ

นายจุรินทร์ กล่าวต่อว่า 4.ผลิตนักศึกษาสายอาชีวศึกษาเพื่อให้ได้สัดส่วนต่อผู้เรียนสายสามัญศึกษา เป็น 50:50 จากเดิม 40:60 ซึ่งเป็นที่น่ายินดีว่าในปีการศึกษา 2552 มีผู้เรียนสายอาชีวศึกษา 46:54 ซึ่งถือว่าใกล้เป้าหมายที่ได้ตั้งไว้ว่าจะต้องมีสัดส่วน 50:50 แล้ว 5.เร่งแสวงหาความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในสังคม ทั้งภาคเอกชน สถานประกอบการ และ 6.ผลักดันการจัดตั้งสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพให้เกิดขึ้นในปีที่ 69 ของอาชีวะให้ได้ เพื่อจะได้เทียบโอนสมรรถนะผู้ที่ปฏิบัติงานและมีความเชี่ยวชาญในด้านอาชีพต่างๆ แต่ไม่มีคุณวุฒิทางการศึกษาให้ได้รับค่าตอบแทน และได้รับการยอมรับในวิชาชีพมากขึ้น รวมถึงสามารถเทียบโอนผู้ที่มีวุฒิการศึกษา แต่มีความสามารถมากกว่าวุฒิที่มีอยู่ให้ได้รับค่าตอบแทนในอัตราที่สูงขึ้น

ด้าน นายเฉลียว อยู่สีมารักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) กล่าวว่า สอศ.ครบรอบการสถาปนา 68 ปี ในวันที่ 19 ส.ค.2552 จึงได้จัดงาน “68 ปีอาชีวศึกษาไทย ก้าวไกลสู่อนาคต” เพื่อเผยแพร่ให้สาธารณชนได้มีความรู้ และความเข้าใจถึงพัฒนาการ และความก้าวหน้าของการอาชีวศึกษาในวาระครบรอบ 68 ปี ให้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องแก่สาธารณชน เพื่อสร้างทัศนคติและสร้างสำนึกของการมีส่วนร่วมในการพัฒนาการอาชีวศึกษาให้มีความเข้มแข็ง ตลอดจนนำเสนอศักยภาพอของการอาชีวศึกษาให้สาธารณชนได้รับรู้ความก้าวหน้า และพัฒนาการของการอาชีวศึกษาที่มีต่อการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ ซึ่งภายในงานประกอบด้วยกิจกรรมหลัก 6 ส่วนได้แก่ นิทรรศการ การจำหน่ายผลผลิตจากการเรียนการสอน เวทีอาชีวะ การสอนอาชีพ การแนะแนวด้านอาชีวศึกษา และกิจกรรมประชาสัมพันธ์ จึงขอเชิญผู้ที่สนใจร่วมงานได้ระหว่างวันที่ 21-23 ส.ค.2552 เวลา 10.00-20.30 น.ณ ห้องบางกอกคอนเวนชั่นฮอลล์ ชั้น 4 และชั้น 5 เซ็นทรัลพลาซ่า ลาดพร้าว สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-280-2938, 02-281-5555 หรือ www.vec.go.th

ทั้งนี้ ภายในงาน รมว.ศึกษาธิการ ได้มอบโล่รางวัลเชิดชูเกียรติให้แก่สถานประกอบการ และหน่วยงาน จำนวน 12 ราย ที่มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนการอาชีวศึกษาให้มีความก้าวหน้า ได้แก่ เครือเบทาโกร สถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย มูลนิธิกลุ่มอีซูซุ กรมการขนส่งทางบก บริษัท โทริเซนไทยเอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) บริษัท โตโยต้ามอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) บริษัท เอสซีจี ซีเมนต์ จำกัด บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) มูลนิธิศึกษาพัฒน์ และประธานกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมี สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
กำลังโหลดความคิดเห็น