ฮูเตือนระบบสวัสดิการไทยล้มละลาย เหตุปล่อยให้ขรก.เบิกยาได้ทุกประเภท แนะต้องควบคุมราคายา ใช้กลไกภาษีนำเข้า อิงภาวะค่าครองชีพ จีดีพีในประเทศ ก.คลังแจ้นสั่งรัดเข็มขัด แจ้งความดำเนินคดีผู้เบิกยาหลายโรงพยาบาลในเวลาเดียวกัน
นพ.พฤฒิชัย ดำรงรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ขณะนี้ค่ารักษาพยาบาลในสวัสดิการข้าราชการในปีงบประมาณ 2552 สำหรับซึ่งดูแลประชากรในระบบ 4 ล้านคน คาดว่า จะมีการเบิกจ่ายสูงถึง 6 หมื่นล้านบาท ซึ่งสูงกว่างบประมาณที่ตั้งไว้ในปีนี้ที่ 4.8 หมื่นล้านบาท ประมาณ 20-25% และมีแนวโน้มว่าจะสูงขึ้นทุกปี ดังนั้น ได้ออกคำสั่งให้รัดเข็มขัด รวมทั้งการแจ้งความดำเนินคดีกับผู้เบิกค่ายาในหลายโรงพยาบาลในช่วงเดือนเดียวกัน และออกหนังสือเวียนห้ามเบิกเกินตามที่กำหนดไว้ในระเบียบด้วย
ดร.ฮานส์ โฮเกอร์เซล (Hans Hogerzeil) ผู้อำนวยการนโยบายยาจำเป็นและเภสัชภัณฑ์ องค์การอนามัยโลก กล่าวว่า ระบบสวัสดิการข้าราชการในต่างประเทศไม่ได้เบิกยาได้ทุกชนิด ขณะที่ประเทศไทยกลับมีระบบให้ข้าราชการไทยเบิกยาได้ทุกประเภท ทำให้ข้าราชการเป็นกลุ่มที่เบิกยานอกบัญชียาหลักมากที่สุด ขณะที่ราคายาแต่ละชนิดก็มีความแตกต่างกัน แต่ละโรงพยาบาลกำหนดราคายาได้ตามต้องการ ขณะเดียวกัน คนส่วนใหญ่ในสังคมไม่มีเงินพอในการจ่ายยา ซึ่งในยุโรปไม่มีประเทศใดที่ยาต้นแบบจะมีราคาแพงจนประชาชนเข้าถึงยาไม่ได้ หากปล่อยให้สถานการณ์เป็นเช่นนี้ในอนาคตอาจทำให้ระบบสวัสดิการข้าราชการของไทยล้มละลายได้ ดังนั้น การควบคุมราคายาเป็นสิ่งจำเป็น
ดร.ฮานส์ กล่าวต่อว่า การควบคุมราคายาที่ดีที่สุดมี 3 ข้อ คือ 1.ควรมีกลไกภาษีนำเข้าของราคายา เพื่อใช้สำหรับเพิ่ม หรือลดราคายา 2.ภาครัฐควรให้ผู้บริโภคได้ทราบว่า ราคายาในแต่ละตัวที่ใช้รักษาโรคเดียวกันมีความแตกต่างกันอย่างไร เพื่อจะได้เลือกใช้ยาได้ถูกต้อง และ 3.แต่ละประเทศต้องมีระบบควบคุมราคา ไม่ให้บริษัทยาสามารถตั้งส่วนต่างของกำไรได้ตามใจชอบโดยไม่มีองค์กรใดควบคุมได้ เพราะจะทำให้ประชาชนเข้าไม่ถึงยาจำเป็น ที่สำคัญราคายาของแต่ละประเทศต้องมีความแตกต่างกันตามสภาพเศรษฐกิจ ภาวะการครองชีพ และผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือค่าจีดีพี ซึ่งองค์การอนามัยโลกแนะนำว่า ราคายาไม่ควรเกิน 1 เท่าของค่าจีดีพีของประเทศนั้นๆ