“ประกอบ” สั่งเขตรีบแจ้งความต้องการใช้พื้นที่ใต้ทางด่วนทำสวนสาธารณะ-ออกกำลังกาย ก่อนประสาน กทพ.ขอใช้พื้นที่ทำประโยชน์เพื่อชาวกรุง พร้อมเตรียมประสานภาคเอกชนทำ CSR
วันนี้ (14 ก.ค.) ที่ห้องรัตนโกสินทร์ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ในการประชุมหัวหน้าหน่วยงานราชการของ กทม. นายประกอบ จิรกิติ รองผู้ว่าฯ กทม. กล่าวถึงผลการหารือกับทางคณะผู้บริหารของการทางพิเศษแห่งประเทศ (กทพ.) ถึงการเข้าใช้พื้นที่ใต้ทางด่วนว่า ได้มีการชี้แจงถึงการเข้าไปใช้ประโยชน์ใช้สอย ได้แก่ 1.ใช้พื้นที่เพื่อสาธารณะประโยชน์ เช่น ทำสวนหย่อม ซึ่ง กทพ.ได้ประสานมายัง กทม.ให้เข้าไปดูแลและดำเนินการจัดสวน 2.ใช้พื้นที่อำนวยความสะดวกให้กับประชาชน เช่น ใช้เป็นจุดจอดแล้วจร สำหรับประชาชนที่มีรถโดยสารส่วนตัว หรือให้เป็นพื้นที่รับส่งประชาชนที่ต้องการใช้รถโดยสารสาธารณะ และ 3.ใช้พื้นที่ในเชิงพาณิชย์ ซึ่งล่าสุดกฎหมายของ กทพ.ได้ระบุให้ กทพ.นำพื้นที่ไปใช้ในเชิงพาณิชย์ได้ ซึ่งต้องขอความร่วมมือไปยังทุกสำนักงานเขตที่ต้องการใช้พื้นที่เพื่อสาธารณะและประโยชน์กับประชาชน เช่น ทำลานกีฬา สวนหย่อม รายงานความต้องการมายังกับผู้บริหารที่เกี่ยวข้องเพื่อที่จะได้นำไปหารือกับทางคณะผู้หาร กทพ.ต่อไป
ด้านนางทยา ทีปสุวรรณ รองผู้ว่าฯ กทม.เปิดเผยว่า ขณะนี้มีสวนสาธารณะที่เป็นพื้นที่ของ กทพ. ซึ่ง กทม.ต้องดูแลทั้งหมด 113 แห่ง และได้ทำสัญญาระหว่างกันไปจนถึงปี 2556 ซึ่งหากพื้นที่เขตใดมีสวนหย่อมที่ต้องดูแลขอให้เข้าไปดูแล และปรับสภาพเข้าไปใช้ประโยชน์ได้อยู่เสมอ เพราะจากการหารือดังกล่าว กทพ.ระบุว่าสำนักงานเขตไม่ได้เข้าไปดูแล ทำความสะอาดพื้นที่เลย และยังเปิดพื้นที่ให้กลุ่มผู้ค้าเข้าไปวางแผงขายสินค้าในพื้นที่ทั้งๆ ที่ไม่ได้เปิดเป็นจุดค้าขายด้วย นอกจากนั้นแล้ว การพัฒนาพื้นที่สาธารณะให้เป็นลานกีฬาทางคณะผู้บริหารได้เตรียมทำ CSR (Corporate Social Responsibility) หรือความรับผิดชอบทางสังคมเชิงบรรษัท กับบริษัทเอกชนเพื่อขอให้เข้ามาสนับสนุนด้านอุปกรณ์กีฬา รวมไปถึงประสานไปยังมหาวิทยาลัยต่างๆ ให้ทำโครงการนักศึกษาอาสาฝึกสอนทักษะด้านกีฬาให้กับเด็ก เยาวชนที่สนใจด้วย
วันนี้ (14 ก.ค.) ที่ห้องรัตนโกสินทร์ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ในการประชุมหัวหน้าหน่วยงานราชการของ กทม. นายประกอบ จิรกิติ รองผู้ว่าฯ กทม. กล่าวถึงผลการหารือกับทางคณะผู้บริหารของการทางพิเศษแห่งประเทศ (กทพ.) ถึงการเข้าใช้พื้นที่ใต้ทางด่วนว่า ได้มีการชี้แจงถึงการเข้าไปใช้ประโยชน์ใช้สอย ได้แก่ 1.ใช้พื้นที่เพื่อสาธารณะประโยชน์ เช่น ทำสวนหย่อม ซึ่ง กทพ.ได้ประสานมายัง กทม.ให้เข้าไปดูแลและดำเนินการจัดสวน 2.ใช้พื้นที่อำนวยความสะดวกให้กับประชาชน เช่น ใช้เป็นจุดจอดแล้วจร สำหรับประชาชนที่มีรถโดยสารส่วนตัว หรือให้เป็นพื้นที่รับส่งประชาชนที่ต้องการใช้รถโดยสารสาธารณะ และ 3.ใช้พื้นที่ในเชิงพาณิชย์ ซึ่งล่าสุดกฎหมายของ กทพ.ได้ระบุให้ กทพ.นำพื้นที่ไปใช้ในเชิงพาณิชย์ได้ ซึ่งต้องขอความร่วมมือไปยังทุกสำนักงานเขตที่ต้องการใช้พื้นที่เพื่อสาธารณะและประโยชน์กับประชาชน เช่น ทำลานกีฬา สวนหย่อม รายงานความต้องการมายังกับผู้บริหารที่เกี่ยวข้องเพื่อที่จะได้นำไปหารือกับทางคณะผู้หาร กทพ.ต่อไป
ด้านนางทยา ทีปสุวรรณ รองผู้ว่าฯ กทม.เปิดเผยว่า ขณะนี้มีสวนสาธารณะที่เป็นพื้นที่ของ กทพ. ซึ่ง กทม.ต้องดูแลทั้งหมด 113 แห่ง และได้ทำสัญญาระหว่างกันไปจนถึงปี 2556 ซึ่งหากพื้นที่เขตใดมีสวนหย่อมที่ต้องดูแลขอให้เข้าไปดูแล และปรับสภาพเข้าไปใช้ประโยชน์ได้อยู่เสมอ เพราะจากการหารือดังกล่าว กทพ.ระบุว่าสำนักงานเขตไม่ได้เข้าไปดูแล ทำความสะอาดพื้นที่เลย และยังเปิดพื้นที่ให้กลุ่มผู้ค้าเข้าไปวางแผงขายสินค้าในพื้นที่ทั้งๆ ที่ไม่ได้เปิดเป็นจุดค้าขายด้วย นอกจากนั้นแล้ว การพัฒนาพื้นที่สาธารณะให้เป็นลานกีฬาทางคณะผู้บริหารได้เตรียมทำ CSR (Corporate Social Responsibility) หรือความรับผิดชอบทางสังคมเชิงบรรษัท กับบริษัทเอกชนเพื่อขอให้เข้ามาสนับสนุนด้านอุปกรณ์กีฬา รวมไปถึงประสานไปยังมหาวิทยาลัยต่างๆ ให้ทำโครงการนักศึกษาอาสาฝึกสอนทักษะด้านกีฬาให้กับเด็ก เยาวชนที่สนใจด้วย
