หลังจากเจ้าของบ้านตัดสินใจเข้าร้องเรียนสำนักงานเขตประเวศ ต่อกรณีตลาดนัดสวนหลวง ร.9 ตั้งเต็นท์ติดรั้วบ้าน มีคนปีนขึ้นปีนลงเกรงไม่ปลอดภัย มรสุมหลายลูกจากผู้มีอิทธิพลก็ซัดโครมๆ เข้าใส่ไม่ยั้ง ไม่ว่าจะเป็นการเพิกเฉยของเจ้าหน้าที่บ้านเมือง หรือการที่มีผู้โทรศัพท์ข่มขู่คุกคาม
ทว่า นั่นเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น เพราะต่อมาได้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นตามมาอีกมากมาย โดยเหตุการณ์แรกเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2552 เกิดเหตุเพลิงไหม้ปริศนาขึ้นที่ข้างรั้วบ้าน 2 กองใหญ่ๆ ตอนประมาณห้าทุ่มเศษ
“พวกเราโทร.แจ้งเขต เขตก็เฉย จนต้องโทร.หา 191 เจอ ส.ต.ท.สุชิน พิทักษ์กรสกุล ก็ได้รับเรื่องและประสานรถดับเพลิงมา 3 คัน จึงดับไฟลงได้”
ตามติดด้วยเหตุการณ์เมื่อวันที่ 4 เมษายน ที่เกิดขึ้นช่วงเช้าประมาณ 8 โมงเศษๆ เมื่อมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ 10 นาย มีทั้งแต่งเครื่องแบบและนอกเครื่องแบบมากดกริ่งที่หน้าบ้าน พร้อมทั้งบอกว่าจะขอเข้าตรวจค้นที่บ้าน เพราะได้รับเรื่องร้องเรียนมาว่ามีการกักขังหน่วงเหนี่ยว และมีการค้าประเวณี โดยบอกว่าไม่ทราบว่าผู้ร้องเป็นใคร แต่เป็นข้อมูลส่งตรงมาจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ที่น่าแปลกใจคือ ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจขอเข้ามาตรวจ ได้ปรากฏเสียงตะโกนมาจากตลาดนัดว่า “ดูสิบ้านหลังนี้ค้ากาม ขายผู้หญิง กักขังหน่วงเหนี่ยว”
“เราก็เลยโทรศัพท์ไปหา ส.ส.ในพื้นที่ เขาก็บอกว่าให้อยู่เฉยๆ อย่าออกไป จากนั้นก็มีตำรวจโทร.มาหาเรา บอกว่า โทร.มาจากผู้ว่าฯ กทม.พร้อมสอบถามว่าเราว่า พาราไดซ์นี่ของเราหรือเปล่า เราก็อธิบายว่าเราให้เขาเช่า แล้วเราก็ไปตรวจสอบผู้เช่า เขาก็ทำธุรกิจปกติ ไม่มีการค้าประเวณี ระหว่างนั้นตำรวจหน้าบ้านก็กระหน่ำกดกริ่งตลอดเวลา เขาก็บอกให้อยู่เฉยๆ เดี๋ยวจะดูแลให้”
“เราก็โทรศัพท์หาเจ้าหน้าที่เขต ชื่อ คุณประเสริฐ คุณประเสริฐก็พูดคำเดียวว่า ผมไม่เกี่ยว ตอนนั้นตำรวจหน้าบ้านก็โทร.เข้ามาหา เราก็ไม่รู้นะว่าเขามีเบอร์เราได้อย่างไร เขาบอกว่าเขาเป็นสารวัตรสอบสวน ชื่อ เดโช โสสุวรรณากุล แต่ไม่ได้บอกเราว่ามาจาก สน.อะไร เขาบอกว่าเขาจะเข้ามาตรวจค้นบ้านเรา บอกว่า บ้านเราค้าประเวณี แต่เราก็ไม่เปิด ทางตำรวจที่ตามผู้ว่าฯ ก็โทร.เข้ามา เราก็ให้เบอร์ของคุณเดโช ที่โทร.เข้ามาที่เครื่องเราไป เขาคงโทร.ไปคุยกัน สักพักตำรวจกลุ่มนั้นก็กลับ”
เจ้าของบ้านยอมรับว่า เหตุการณ์ทั้งหมดโดยเฉพาะครั้งล่าสุด ทำให้คนในบ้านขวัญกระเจิงไม่น้อย แต่ในที่สุด เมื่อปรึกษากันในหมู่พี่น้องแล้ว พวกเธอก็ตัดสินใจเข้าแจ้งความในวันที่ 16 พฤษภาคม ที่ สน.ประเวศ โดยไปตั้งแต่ 11.00 น.ก็ไม่มีเจ้าหน้าที่มีรับแจ้งความ ต้องรอจนถึง 17.00 น.จึงมีเจ้าหน้าที่มารับเรื่องและให้ทำแค่ลงบันทึกประจำวัน
ต่อมา ในวันที่ 7 มิถุนายน ตอนเช้า ปรากฏว่า มีเด็กผู้หญิง 2 คน อายุประมาณเด็กวัยรุ่น ถือกล้องมาถ่ายรูปหน้าบ้าน ระหว่างนั้นก็คุยโทรศัพท์ไปด้วย บทสนทนาเป็นไปในเชิงว่า...ใช่บ้านหลังนี้ไหม ใช่หรือเปล่า โอเค เจอแล้ว แล้วก็ถ่ายภาพกลับไป
“ช่วงนั้นวุ่นวายมาก มีเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ทราบสังกัด บุกเข้าค้นกิจการของผู้ที่เช่าอาคารเราทั้งหมด ค้นชนิดที่ทำเหมือนเขาเป็นอาชญากรร้าย คนเช่าก็มาบ่นกับเรา พอเขารู้ความรู้เขาก็ตกใจ ไม่นึกว่าเมืองไทยจะแย่ขนาดนี้ ที่ปล่อยให้มีการกลั่นแกล้งประชาชน เขาก็เข้าใจและให้กำลังใจเราให้สู้เพื่อความถูกต้อง ตำรวจค้นละเอียดมาก แต่ไม่เจออะไรเลย”
เจ้าของบ้าน กล่าวต่อไปอีกว่า ที่รับไม่ได้ที่สุดก็คือ มีจดหมายร้องเรียนส่งมายัง กทม.ระบุว่าผู้ส่งเป็นครูที่จังหวัดเชียงใหม่ ได้เบาะแสว่า บ้านของพวกเธอที่เขตประเวศ มีการกักขังหน่วงเหนี่ยงผู้หญิงเพื่อค้าประเวณี ส่งผู้หญิงค้าประเวณีข้ามชาติ และเกี่ยวข้องกับเครือข่ายยาเสพติดองค์กรใหญ่
“นี่คือผลลัพธ์ จากการที่เราต่อสู้เพื่อความถูกต้องและเพื่อสิทธิของตนเอง จากแค่แจ้งให้รื้อรั้ว ตอนนี้กลายเป็นพวกเราผู้หญิงแก่ๆ 3 คน เจอข้อหาค้าผู้หญิงข้ามชาติ ค้ายาเสพติด กักขังหน่วงเหนี่ยวไปแล้ว แต่เราก็ยังจะสู้ต่อไป ไปร้องหน่วยงานไหนก็ไม่มีอะไรดีขึ้น สงสัยเราเจออิทธิพลใหญ่จริงๆ ใหญ่ขนาดที่ทำให้ข้าราชการมารังแกประชาชนได้แบบนี้ ตอนนี้ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร อยากให้สังคมรับรู้ เราก็เลยต้องขอร้องสื่อให้ช่วยด้วยอีกทางหนึ่ง” เจ้าของบ้านกล่าวทิ้งท้าย