“คุณหญิงกษมา” เรียกถก ผอ.สพท.ทั่วประเทศ เตรียมพร้อมใช้เงินโครงการไทยเข้มแข็งฯ เผย สพฐ.ได้งบเฉียด 3 หมื่นล้าน ฝากเร่งบรรจุครูในตำแหน่งที่ว่าง 1,500 กว่าอัตรา ก่อนรัฐเรียกคืน กำชับดำเนินโครงการให้โปร่งใส ชี้แจงได้ ปลอดทุจริต เสียงแข็งดำเนินงานจัดซื้อจัดจ้างมีตุกติกเจอคุกแน่
วันนี้ (23 ก.ค.) เมื่อเวลา 10.30 น.ที่โรงแรมอิมพีเรียล ควีนสปาร์ค คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวในการประชุมสัมมนาวิชาการผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.)ว่า สพท.ต้องเตรียมพร้อมในการนำหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2551 ไปใช้ในการจัดทำกรอบหลักสูตรระดับท้องถิ่น และการดำเนินการตามนโยบายแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง หรือ SP 2 ซึ่งทั้ง 2 เรื่องถือเป็นหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษารอบ 2 ที่ทุกคนต้องเข้าใจ และพร้อมเดินไปด้วยกัน จึงอยากให้ สพท.ทุกแห่งตื่นตัวโดยลงไปติดตามการดำเนินงานในแต่ละโรงเรียน เพราะหากปล่อยให้โรงเรียนดำเนินการเพียงลำพัง งานก็จะไม่เป็นไปตามเป้าหมาย
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ สพฐ.ได้รับงบประมาณจากแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 28,000 กว่าล้านบาท ซึ่งแต่ละโครงการตามแผนนั้น เกิดจากความคิดของเจ้าหน้าที่ในส่วนกลาง และในพื้นที่ จึงทำให้ทราบว่าขณะนี้โรงเรียนขาดอะไร ซึ่งไม่มีโครงการใดสั่งมาแน่นอน ดังนั้น การยกระดับโรงเรียน การพัฒนาครู และการส่งเสริมกิจกรรมการเรียนการสอน จะต้องเกิดขึ้น และจะอ้างไม่ได้แล้วว่า สพท.หรือโรงเรียนไม่มีเงินจึงไม่สามารถทำกิจกรรมเหล่านี้ได้
“ต้องทำความเข้าใจรูปแบบตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งฯ จะต้องจัดทำแผนที่เชื่อมโยงแต่ละโครงการว่าจะนำไปสู่คุณภาพผู้เรียนได้อย่างไร เพราะหากแต่ละโครงการต่างคนต่างทำ ไม่มีการเชื่อมโยง คงจะเกิดความปั่นป่วน นอกจากครูและนักเรียนจะไม่ได้รับประโยชน์แล้ว ยังทำให้เสียเงินโดยเปล่าประโยชน์ด้วย ซึ่งขณะนี้พบว่ามีองค์ความรู้เกิดขึ้นในพื้นที่เยอะมาก จึงอยากให้เขตพื้นที่ฯ ถอดบทเรียนของโรงเรียนที่มีผลงานเด่นมาเป็นองค์ความรู้ให้กับโรงเรียนอื่นในพื้นที่ รวมทั้งการเป็นเครือข่ายกับหน่วยงานอื่นๆ ซึ่งจะทำให้การดำเนินการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งฯ มีประสิทธิภาพดี”
คุณหญิงกษมา กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ขอฝาก สพท.ให้ช่วยดูเรื่องประสิทธิภาพในการบริหารงาน โดยขอให้เร่งบรรจุครูตามอัตราที่ได้รับ ซึ่งขณะนี้ทราบว่ากำลังจะเสียอัตราว่างตามเขตพื้นที่ต่างๆ จำนวน 1,578 อัตรา ที่ยังไม่มีการบรรจุ ซึ่งหากไม่รีบบรรจุรัฐบาลจะเอาอัตราดังกล่าวคืนทั้งหมด ซึ่งรัฐบาลชุดนี้จะไม่มีการหยวนให้ โดยจะต้องทำงานอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะโครงการต่างๆ ตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งฯ ที่จะต้องทำอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส มีคำอธิบายได้ในทุกกรณี และขอให้มีรายงานการดำเนินการต่อสาธารณชนด้วย จึงอยากให้ทุกเขตพื้นที่ฯ ประเมินการทำงานของตนเองโดยทดสอบได้จากการดำเนินโครงการเรียนฟรี 15 ปีอย่างมีคุณภาพ หากยังมีปัญหาหรือติดขัดในการดำเนินงานอยู่ ก็จะต้องรีบปรับปรุงให้งานเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด
“การให้ประเมินการทำงานของตนเอง ไม่ได้หมายความว่าจะมีการทุจริต หรือไม่ทำงาน ซึ่งทราบดีว่าทุกเขตพื้นที่มีงานทำมาก แต่แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งฯ เป็นงานที่ต้องเชื่อมโยงอาศัยความเร็ว และต้องทำความเข้าใจกับคนหมู่มาก ทั้งนี้จากการประเมินระบบงานของเขตพื้นที่ฯ พบว่า มีอีก 27 เขตพื้นที่ที่ยังมีปัญหาในการดำเนินการระบบการเงิน และระบบการจัดซื้อจัดจ้าง จึงอยากให้รีบทำความเข้าใจและจัดทำระบบให้ดี ไม่เช่นนั้นการดำเนินโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งฯ ต้องเหนื่อยแน่ๆ และหากทำไม่ดี ไม่ชอบมาพากล อาจต้องเตรียมซื้อปิ่นโตให้แม่บ้านได้เลย เพราะติดคุกแน่นอน ซึ่งหากผู้ทำหน้าที่จัดซื้อจัดจ้างไม่น่าไว้วางใจก็ควรเปลี่ยนเลย เพราะงานนี้ต้องโปร่งใสจริงๆ” เลขาฯ กพฐ.กล่าว
วันนี้ (23 ก.ค.) เมื่อเวลา 10.30 น.ที่โรงแรมอิมพีเรียล ควีนสปาร์ค คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวในการประชุมสัมมนาวิชาการผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.)ว่า สพท.ต้องเตรียมพร้อมในการนำหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2551 ไปใช้ในการจัดทำกรอบหลักสูตรระดับท้องถิ่น และการดำเนินการตามนโยบายแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง หรือ SP 2 ซึ่งทั้ง 2 เรื่องถือเป็นหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษารอบ 2 ที่ทุกคนต้องเข้าใจ และพร้อมเดินไปด้วยกัน จึงอยากให้ สพท.ทุกแห่งตื่นตัวโดยลงไปติดตามการดำเนินงานในแต่ละโรงเรียน เพราะหากปล่อยให้โรงเรียนดำเนินการเพียงลำพัง งานก็จะไม่เป็นไปตามเป้าหมาย
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ สพฐ.ได้รับงบประมาณจากแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 28,000 กว่าล้านบาท ซึ่งแต่ละโครงการตามแผนนั้น เกิดจากความคิดของเจ้าหน้าที่ในส่วนกลาง และในพื้นที่ จึงทำให้ทราบว่าขณะนี้โรงเรียนขาดอะไร ซึ่งไม่มีโครงการใดสั่งมาแน่นอน ดังนั้น การยกระดับโรงเรียน การพัฒนาครู และการส่งเสริมกิจกรรมการเรียนการสอน จะต้องเกิดขึ้น และจะอ้างไม่ได้แล้วว่า สพท.หรือโรงเรียนไม่มีเงินจึงไม่สามารถทำกิจกรรมเหล่านี้ได้
“ต้องทำความเข้าใจรูปแบบตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งฯ จะต้องจัดทำแผนที่เชื่อมโยงแต่ละโครงการว่าจะนำไปสู่คุณภาพผู้เรียนได้อย่างไร เพราะหากแต่ละโครงการต่างคนต่างทำ ไม่มีการเชื่อมโยง คงจะเกิดความปั่นป่วน นอกจากครูและนักเรียนจะไม่ได้รับประโยชน์แล้ว ยังทำให้เสียเงินโดยเปล่าประโยชน์ด้วย ซึ่งขณะนี้พบว่ามีองค์ความรู้เกิดขึ้นในพื้นที่เยอะมาก จึงอยากให้เขตพื้นที่ฯ ถอดบทเรียนของโรงเรียนที่มีผลงานเด่นมาเป็นองค์ความรู้ให้กับโรงเรียนอื่นในพื้นที่ รวมทั้งการเป็นเครือข่ายกับหน่วยงานอื่นๆ ซึ่งจะทำให้การดำเนินการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งฯ มีประสิทธิภาพดี”
คุณหญิงกษมา กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ขอฝาก สพท.ให้ช่วยดูเรื่องประสิทธิภาพในการบริหารงาน โดยขอให้เร่งบรรจุครูตามอัตราที่ได้รับ ซึ่งขณะนี้ทราบว่ากำลังจะเสียอัตราว่างตามเขตพื้นที่ต่างๆ จำนวน 1,578 อัตรา ที่ยังไม่มีการบรรจุ ซึ่งหากไม่รีบบรรจุรัฐบาลจะเอาอัตราดังกล่าวคืนทั้งหมด ซึ่งรัฐบาลชุดนี้จะไม่มีการหยวนให้ โดยจะต้องทำงานอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะโครงการต่างๆ ตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งฯ ที่จะต้องทำอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส มีคำอธิบายได้ในทุกกรณี และขอให้มีรายงานการดำเนินการต่อสาธารณชนด้วย จึงอยากให้ทุกเขตพื้นที่ฯ ประเมินการทำงานของตนเองโดยทดสอบได้จากการดำเนินโครงการเรียนฟรี 15 ปีอย่างมีคุณภาพ หากยังมีปัญหาหรือติดขัดในการดำเนินงานอยู่ ก็จะต้องรีบปรับปรุงให้งานเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด
“การให้ประเมินการทำงานของตนเอง ไม่ได้หมายความว่าจะมีการทุจริต หรือไม่ทำงาน ซึ่งทราบดีว่าทุกเขตพื้นที่มีงานทำมาก แต่แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งฯ เป็นงานที่ต้องเชื่อมโยงอาศัยความเร็ว และต้องทำความเข้าใจกับคนหมู่มาก ทั้งนี้จากการประเมินระบบงานของเขตพื้นที่ฯ พบว่า มีอีก 27 เขตพื้นที่ที่ยังมีปัญหาในการดำเนินการระบบการเงิน และระบบการจัดซื้อจัดจ้าง จึงอยากให้รีบทำความเข้าใจและจัดทำระบบให้ดี ไม่เช่นนั้นการดำเนินโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งฯ ต้องเหนื่อยแน่ๆ และหากทำไม่ดี ไม่ชอบมาพากล อาจต้องเตรียมซื้อปิ่นโตให้แม่บ้านได้เลย เพราะติดคุกแน่นอน ซึ่งหากผู้ทำหน้าที่จัดซื้อจัดจ้างไม่น่าไว้วางใจก็ควรเปลี่ยนเลย เพราะงานนี้ต้องโปร่งใสจริงๆ” เลขาฯ กพฐ.กล่าว