“หัวเฉียวโฟกัส” เผยผลสำรวจพบวัยรุ่นชายหญิง ร้อยละ 18.5 ชูมือหนุน “ทำแท้ง” ขณะที่ร้านขายยาเป็นแหล่งซื้อยาทำแท้งที่วัยรุ่่นรู้จักมากที่สุด รองลงมา คือ จากอินเทอร์เน็ต เภสัชฯ เผย ตัวยาใช้ในการป้องกันการเกิดแผลอักเสบในกระเพาะ แต่ผู้ใช้นำมาเหน็บช่องคลอดเพื่อทำแท้ง หวั่นปวดท้อง ตกเลือดอย่างรุนแรง อาจถึงแก่ชีวิต
“หัวเฉียวโฟกัส” โดยมหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ ทำการสำรวจทัศนคติวัยรุ่นชาย หญิงในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลจำนวน 1,148 คน เรื่อง“การทำแท้งและการใช้ยาทำแท้งในวัยรุ่น” พบว่า ร้อยละ 18.5 เห็นด้วยกับการทำแท้ง โดยเป็นเพศชายร้อยละ 7.9 เพศหญิง 10.6 ยังพบอีกว่า ร้อยละ 17.6 ทราบแหล่งขายยาทำแท้ง และพบว่าแหล่งขายยาทำแท้งที่วัยรุ่นส่วนใหญ่รู้จักมากที่สุดถึงร้อยละ 61.5 คือ ร้านขายยา ร้อยละ 21.25 ซื้อจากอินเทอร์เน็ต ร้อยละ 16.25 ซื้อจากแพทย์โดยตรง และอีกร้อยละ 6.25 ใช้วิธีการฝากคนอื่นซื้อ
อ.ปิยะวัน วงษ์บุญหนัก หัวหน้าทีมงานวิจัยด้านสุขภาพ คณะเภสัชศาสตร์ ม.หัวเฉียว กล่าวว่า การใช้ยาทำแท้งถือเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ที่วัยรุ่นใช้จัดการปัญหาการตั้งครรภ์โดยไม่พึงประสงค์ ซึ่งกลุ่มวัยรุ่นมักเข้าใจว่ายาชนิดนี้เป็นยาขับประจำเดือน หากใช้แล้วประจำเดือนจะมา แสดงว่าหยุดการตั้งครรภ์ได้โดยไม่คำนึงถึงผลเสียและอันตรายที่อาจเกิดขึ้นตามมา
“ยาที่วัยรุ่นนำมากินเพื่อทำแท้งนั้น เป็นตัวยาชื่อ misoprostol ซึ่งแท้จริงแล้วยานี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหารสำหรับผู้ป่วยที่ต้องใช้ยาต้านการอักเสบนานๆ แต่เนื่องจากยาตัวดังกล่าวมีฤทธิ์ในการบีบมดลูก จึงมีการนำมาใช้เป็นยาเหน็บช่องคลอดเพื่อการทำแท้ง อันตรายที่เกิดขึ้นคืออาจทำให้ปวดท้องและตกเลือดอย่างรุนแรง โดยเฉพาะการใช้ยาในช่วงอายุครรภ์ที่อาจเกิดอันตรายมากกว่าปกติ อีกทั้งในกรณีที่ผู้ใช้ยาเคยผ่าตัดมดลูกมาก่อน อาการทั้งหมดนี้อาจส่งผลต่อชีวิตได้ และตามกฏหมายแล้วยานี้ไม่สามารถขายได้ในร้านขายยาทั่วไป ต้องเป็นการใช้ในสถานพยาบาลเท่านั้น”
อ.ปิยะวัน กล่าวต่อว่า เนื่องจากร้านขายยาเป็นแหล่งที่เข้าถึงได้ง่าย ในขณะที่ผู้ซื้อไม่จำเป็นต้องเปิดเผยตัว ไม่ต้องทำประวัติหรือให้ข้อมูลที่สามารถติดตามได้ จึงเป็นแหล่งที่วัยรุ่นเลือกใช้บริการเพื่อแก้ไขปัญหาข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น แต่ที่ต้องยอมรับ คือ ในปัจจุบันเมื่อพบเด็กวัยรุ่นตั้งครรภ์ การแก้ปัญหาอาจอยู่ที่การให้ลาออกจากระบบการศึกษา ซึ่งเป็นการผลักให้เด็กต้องเข้าสู่ระบบของการทำแท้งเถื่อน หรือการซื้อยาผิดกฏหมาย ดังนั้น ผู้ที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานอื่นๆ ต้องตระหนักถึงความสำคัญพร้อมทั้งคิดหาทางออกในเชิงของระบบร่วมกันอย่างจริงจัง
ด้าน ดร.ศรัณย์ กอสนาม คณะเภสัชศาสตร์ ม.หัวเฉียวฯ กล่าวว่า จากกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่บอกว่า เคยซื้อยาทำแท้งได้จากร้านขายยา จึงต้องมีการพิจารณาว่าเกิดขึ้นอย่างไร หากจะมีแนวคิดในเชิงกฏหมายที่ต้องจำกัดไม่ให้มีการจำหน่ายยาทำแท้ง เพื่อลดโอกาสการเข้าถึงยาของผู้บริโภคควรตระหนัก ว่า การบังคับใช้กฏหมายนั้น ต้องทำควบคู่ไปกับการรณรงค์สร้างความเข้าใจกับประชาชนเพื่อลดปัญหาการใช้ยาทำแท้ง ที่สำคัญ ควรมีการติดตามตั้งแต่ต้นทางว่าร้านยาเหล่านี้ได้ยามาจำหน่ายจากที่ใด ถึงแม้ว่าจะมีกฎหมายควบคุมการขายยาในร้านขายยาอย่างชัดเจน แต่ก็ยังมีการจำหน่ายยาทำแท้งอยู่
“หัวเฉียวโฟกัส” โดยมหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ ทำการสำรวจทัศนคติวัยรุ่นชาย หญิงในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลจำนวน 1,148 คน เรื่อง“การทำแท้งและการใช้ยาทำแท้งในวัยรุ่น” พบว่า ร้อยละ 18.5 เห็นด้วยกับการทำแท้ง โดยเป็นเพศชายร้อยละ 7.9 เพศหญิง 10.6 ยังพบอีกว่า ร้อยละ 17.6 ทราบแหล่งขายยาทำแท้ง และพบว่าแหล่งขายยาทำแท้งที่วัยรุ่นส่วนใหญ่รู้จักมากที่สุดถึงร้อยละ 61.5 คือ ร้านขายยา ร้อยละ 21.25 ซื้อจากอินเทอร์เน็ต ร้อยละ 16.25 ซื้อจากแพทย์โดยตรง และอีกร้อยละ 6.25 ใช้วิธีการฝากคนอื่นซื้อ
อ.ปิยะวัน วงษ์บุญหนัก หัวหน้าทีมงานวิจัยด้านสุขภาพ คณะเภสัชศาสตร์ ม.หัวเฉียว กล่าวว่า การใช้ยาทำแท้งถือเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ที่วัยรุ่นใช้จัดการปัญหาการตั้งครรภ์โดยไม่พึงประสงค์ ซึ่งกลุ่มวัยรุ่นมักเข้าใจว่ายาชนิดนี้เป็นยาขับประจำเดือน หากใช้แล้วประจำเดือนจะมา แสดงว่าหยุดการตั้งครรภ์ได้โดยไม่คำนึงถึงผลเสียและอันตรายที่อาจเกิดขึ้นตามมา
“ยาที่วัยรุ่นนำมากินเพื่อทำแท้งนั้น เป็นตัวยาชื่อ misoprostol ซึ่งแท้จริงแล้วยานี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหารสำหรับผู้ป่วยที่ต้องใช้ยาต้านการอักเสบนานๆ แต่เนื่องจากยาตัวดังกล่าวมีฤทธิ์ในการบีบมดลูก จึงมีการนำมาใช้เป็นยาเหน็บช่องคลอดเพื่อการทำแท้ง อันตรายที่เกิดขึ้นคืออาจทำให้ปวดท้องและตกเลือดอย่างรุนแรง โดยเฉพาะการใช้ยาในช่วงอายุครรภ์ที่อาจเกิดอันตรายมากกว่าปกติ อีกทั้งในกรณีที่ผู้ใช้ยาเคยผ่าตัดมดลูกมาก่อน อาการทั้งหมดนี้อาจส่งผลต่อชีวิตได้ และตามกฏหมายแล้วยานี้ไม่สามารถขายได้ในร้านขายยาทั่วไป ต้องเป็นการใช้ในสถานพยาบาลเท่านั้น”
อ.ปิยะวัน กล่าวต่อว่า เนื่องจากร้านขายยาเป็นแหล่งที่เข้าถึงได้ง่าย ในขณะที่ผู้ซื้อไม่จำเป็นต้องเปิดเผยตัว ไม่ต้องทำประวัติหรือให้ข้อมูลที่สามารถติดตามได้ จึงเป็นแหล่งที่วัยรุ่นเลือกใช้บริการเพื่อแก้ไขปัญหาข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น แต่ที่ต้องยอมรับ คือ ในปัจจุบันเมื่อพบเด็กวัยรุ่นตั้งครรภ์ การแก้ปัญหาอาจอยู่ที่การให้ลาออกจากระบบการศึกษา ซึ่งเป็นการผลักให้เด็กต้องเข้าสู่ระบบของการทำแท้งเถื่อน หรือการซื้อยาผิดกฏหมาย ดังนั้น ผู้ที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานอื่นๆ ต้องตระหนักถึงความสำคัญพร้อมทั้งคิดหาทางออกในเชิงของระบบร่วมกันอย่างจริงจัง
ด้าน ดร.ศรัณย์ กอสนาม คณะเภสัชศาสตร์ ม.หัวเฉียวฯ กล่าวว่า จากกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่บอกว่า เคยซื้อยาทำแท้งได้จากร้านขายยา จึงต้องมีการพิจารณาว่าเกิดขึ้นอย่างไร หากจะมีแนวคิดในเชิงกฏหมายที่ต้องจำกัดไม่ให้มีการจำหน่ายยาทำแท้ง เพื่อลดโอกาสการเข้าถึงยาของผู้บริโภคควรตระหนัก ว่า การบังคับใช้กฏหมายนั้น ต้องทำควบคู่ไปกับการรณรงค์สร้างความเข้าใจกับประชาชนเพื่อลดปัญหาการใช้ยาทำแท้ง ที่สำคัญ ควรมีการติดตามตั้งแต่ต้นทางว่าร้านยาเหล่านี้ได้ยามาจำหน่ายจากที่ใด ถึงแม้ว่าจะมีกฎหมายควบคุมการขายยาในร้านขายยาอย่างชัดเจน แต่ก็ยังมีการจำหน่ายยาทำแท้งอยู่
