เอแบคโพลล์สำรวจพบคนไทยเกินครึ่ง หรือร้อยละ 54.5 มีหนี้ส่วนตัวเฉลี่ยคนละ 300,000 บาท หรือมากกว่า 10 เท่าของรายได้ส่วนตัวที่ได้รับในแต่ละเดือน ส่วนประเด็นร้อนทางการเมือง ถ้า กกต.มีมติให้ ส.ส.และ ส.ว.ขาดคุณสมบัติเรื่องถือครองหุ้น พบว่า ร้อยละ 40.7 เห็นว่า ควรลาออกทันที
นายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเอแบคนวัตกรรมทางสังคม การจัดการและธุรกิจ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผล “สำรวจภาวะหนี้สินระดับบุคคลและครัวเรือนกับประเด็นสำคัญทางการเมือง" กรณีศึกษาประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไป ใน 17 จังหวัดของประเทศ จำนวน 4,102 ครัวเรือน ระหว่างวันที่ 7-18 กรกฎาคม 2552 พบว่า คนไทยเกินครึ่งหรือร้อยละ 54.5 มีหนี้สินส่วนตัว ในขณะที่ร้อยละ 45.5 ระบุไม่มีหนี้สิน โดยในกลุ่มคนที่มีหนี้สิน พบว่า จำนวนหนี้ส่วนตัวของประชาชนโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 304,842.32 บาท แต่มีจำนวนหนี้ส่วนตัวต่ำสุดอยู่ที่ 950 บาท และจำนวนหนี้ส่วนตัวสูงสุดอยู่ที่ 9.5 ล้านบาท
เมื่อจำแนกตามรายได้ พบว่า ในทุกกลุ่มรายได้มีจำนวนหนี้สินมากกว่า 10 เท่าของรายได้ส่วนตัวที่ได้รับใน แต่ละเดือน ส่วนหนี้สินครัวเรือนเฉลี่ยโดยรวมอยู่ที่ 514,313.72 บาท ต่อครัวเรือน
ในการสำรวจครั้งนี้ ยังพบด้วยว่า ในอีก 6 เดือนข้างหน้า ประชาชนส่วนใหญ่หรือร้อยละ 69.4 ยังไม่คิดจะซื้อสินค้า ประเภท รถยนต์คันใหม่ บ้านหลังใหม่ เครื่องใช้ไฟฟ้าใหม่ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ร้อยละ 30.6 ตั้งใจจะซื้อ โดย กลุ่มคนที่มีรายได้มากกว่า 50,000 บาทขึ้นไป จำนวนมาก หรือร้อยละ 41.2 จะซื้อบ้านหลังใหม่ ร้อยละ 39.2 จะซื้อรถยนต์คันใหม่
เมื่อสอบถามถึงบรรยากาศการเมืองโดยทั่วไปในขณะนี้ เมื่อเทียบกับช่วงต้นปีที่ผ่านมา พบว่าเกินกว่าครึ่งหรือร้อยละ 52.2 มองกันว่า บรรยากาศการเมืองค่อนข้างดีถึงดีขึ้นมาก ร้อยละ 47.8 มองว่า ค่อนข้างแย่ ถึงแย่ลงมาก ส่วนประเด็นร้อนทางการเมืองที่มองเกี่ยวกับการลาออกของ ส.ส.และ ส.ว.ถ้ากรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติให้ขาดคุณสมบัติเรื่องถือครองหุ้น พบว่า ร้อยละ 40.7 เห็นว่า ควรลาออกทันที ในขณะที่ร้อยละ 59.3 เห็นว่า ให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมขั้นสิ้นสุด จะวินิจฉัยตัดสิน นอกจากนี้ ร้อยละ 62.7 เห็นว่า ถึงเวลาแล้วที่ต้องเร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญตอนนี้
นายนพดล กล่าวว่า ผลสำรวจเกี่ยวกับภาวะหนี้สินส่วนตัวและหนี้สินครัวเรือนของประชาชนคนไทยอยู่ในสภาวะที่น่าเป็นห่วง เพราะมีหนี้สินส่วนตัวและหนี้สินครัวเรือนล้นพ้นตัวเกินกว่ารายได้ที่ได้รับแต่ละเดือนหลายเท่า จึงส่งผลกระทบตามมาต่อปัญหาสังคม การเมืองและเศรษฐกิจหลายอย่าง เช่น ความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน การทุจริตคอร์รัปชัน การซื้อสิทธิขายเสียง และการก่อหนี้สินไม่มีที่สิ้นสุดในหมู่ประชาชน
นายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเอแบคนวัตกรรมทางสังคม การจัดการและธุรกิจ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผล “สำรวจภาวะหนี้สินระดับบุคคลและครัวเรือนกับประเด็นสำคัญทางการเมือง" กรณีศึกษาประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไป ใน 17 จังหวัดของประเทศ จำนวน 4,102 ครัวเรือน ระหว่างวันที่ 7-18 กรกฎาคม 2552 พบว่า คนไทยเกินครึ่งหรือร้อยละ 54.5 มีหนี้สินส่วนตัว ในขณะที่ร้อยละ 45.5 ระบุไม่มีหนี้สิน โดยในกลุ่มคนที่มีหนี้สิน พบว่า จำนวนหนี้ส่วนตัวของประชาชนโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 304,842.32 บาท แต่มีจำนวนหนี้ส่วนตัวต่ำสุดอยู่ที่ 950 บาท และจำนวนหนี้ส่วนตัวสูงสุดอยู่ที่ 9.5 ล้านบาท
เมื่อจำแนกตามรายได้ พบว่า ในทุกกลุ่มรายได้มีจำนวนหนี้สินมากกว่า 10 เท่าของรายได้ส่วนตัวที่ได้รับใน แต่ละเดือน ส่วนหนี้สินครัวเรือนเฉลี่ยโดยรวมอยู่ที่ 514,313.72 บาท ต่อครัวเรือน
ในการสำรวจครั้งนี้ ยังพบด้วยว่า ในอีก 6 เดือนข้างหน้า ประชาชนส่วนใหญ่หรือร้อยละ 69.4 ยังไม่คิดจะซื้อสินค้า ประเภท รถยนต์คันใหม่ บ้านหลังใหม่ เครื่องใช้ไฟฟ้าใหม่ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ร้อยละ 30.6 ตั้งใจจะซื้อ โดย กลุ่มคนที่มีรายได้มากกว่า 50,000 บาทขึ้นไป จำนวนมาก หรือร้อยละ 41.2 จะซื้อบ้านหลังใหม่ ร้อยละ 39.2 จะซื้อรถยนต์คันใหม่
เมื่อสอบถามถึงบรรยากาศการเมืองโดยทั่วไปในขณะนี้ เมื่อเทียบกับช่วงต้นปีที่ผ่านมา พบว่าเกินกว่าครึ่งหรือร้อยละ 52.2 มองกันว่า บรรยากาศการเมืองค่อนข้างดีถึงดีขึ้นมาก ร้อยละ 47.8 มองว่า ค่อนข้างแย่ ถึงแย่ลงมาก ส่วนประเด็นร้อนทางการเมืองที่มองเกี่ยวกับการลาออกของ ส.ส.และ ส.ว.ถ้ากรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติให้ขาดคุณสมบัติเรื่องถือครองหุ้น พบว่า ร้อยละ 40.7 เห็นว่า ควรลาออกทันที ในขณะที่ร้อยละ 59.3 เห็นว่า ให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมขั้นสิ้นสุด จะวินิจฉัยตัดสิน นอกจากนี้ ร้อยละ 62.7 เห็นว่า ถึงเวลาแล้วที่ต้องเร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญตอนนี้
นายนพดล กล่าวว่า ผลสำรวจเกี่ยวกับภาวะหนี้สินส่วนตัวและหนี้สินครัวเรือนของประชาชนคนไทยอยู่ในสภาวะที่น่าเป็นห่วง เพราะมีหนี้สินส่วนตัวและหนี้สินครัวเรือนล้นพ้นตัวเกินกว่ารายได้ที่ได้รับแต่ละเดือนหลายเท่า จึงส่งผลกระทบตามมาต่อปัญหาสังคม การเมืองและเศรษฐกิจหลายอย่าง เช่น ความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน การทุจริตคอร์รัปชัน การซื้อสิทธิขายเสียง และการก่อหนี้สินไม่มีที่สิ้นสุดในหมู่ประชาชน
