สพฐ.สรุปโครงการเรียนฟรี “คุณหญิงกษมา” เผยมีโรงเรียนกว่า 28,000 แห่ง หรือร้อยละ 96 ไม่เก็บค่าใช้จ่ายเพิ่ม ส่วนที่ยังเก็บมี 1,077 โรงเรียน ชี้เหตุมีการร้องเรียนเพราะโรงเรียนไม่ได้ทำความเข้าใจกับผู้ปกครอง
คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้สำรวจการเก็บเงินบำรุงการศึกษาของโรงเรียนทั่วประเทศ พบว่า 174 เขต มีโรงเรียนไม่เก็บค่าใช้จ่าย จำนวน 28,370 โรงเรียน คิดเป็นร้อยละ 96.34 และเก็บค่าใช้จ่ายจำนวน 1,077 โรงเรียน คิดเป็นร้อยละ 3.66 และการจัดเก็บค่าใช้จ่ายของโรงเรียนจำนวน 1,077 โรงเรียน มีการเก็บลดลง 785 โรงเรียน เก็บเพิ่มขึ้น 36 โรงเรียน เก็บเท่าเดิม 206 โรงเรียน
ส่วนเมื่อเปรียบเทียบหลักเกณฑ์การเก็บเงินบำรุงการศึกษากับปีที่ผ่านมา จากเดิมโรงเรียนที่ได้รับเงินอุดหนุนจะเรียกเก็บเงินไม่ได้ 13 รายการ เป็น 22 รายการ โครงการพัฒนาคุณภาพนักเรียนเดิมเรียกเก็บได้ 9 รายการ ไม่เกิน 2,000 บาทต่อหนึ่งภาคเรียน เป็นเก็บได้ 4 รายการ ไม่เกิน 1,000 บาท คือ 1.โครงการพัฒนาทักษะตามความถนัดของนักเรียนนอกเวลาเรียน 2.ค่าจ้างครูชาวต่างประเทศ 3.ค่าตอบแทนวิทยากรภายนอก และ4.ค่าเรียนปรับพื้นฐานความรู้ ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต้องสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่รัฐจัดให้เก็บได้เท่าที่จ่ายจริงโดยประหยัด และเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและลดปัญหาการร้องเรียน สพฐ.จึงกำชับให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) ทั่วประเทศ
“เรื่องการจัดเก็บเงินของโรงเรียนจะต้องเก็บเพื่อจัดการเรียนการสอนนอกเหนือจากหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานเท่านั้น ซึ่งโรงเรียนจะต้องจำแนกรายการที่จัดเก็บเพื่อชี้แจงทำความเข้าใจกับผู้ปกครองกรณีผู้ปกครองไม่สมัครใจไม่ต้องจ่ายเงินตามรายการนั้นๆ และการระดมทรัพยากรจากผู้ปกครอง ต้องเป็นไปตามความสมัครใจ ห้ามบังคับ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ในกรณีขอรับการบริจาคเงินจากผู้ปกครองผ่านสมาคมผู้ปกครอง เป็นจำนวนเงินเท่ากันทุกคนตามรายการที่กำหนด ทำให้ผู้ปกครองอยู่ในภาวะจำยอมมากกว่าเต็มใจ ถือว่าเป็นการบังคับผู้ปกครองโดยทางอ้อม”
คุณหญิงกษมากล่าวว่า ปัญหาที่มีการร้องเรียนจากผู้ปกครองที่ได้รับความเดือดร้อนเกี่ยวกับการเก็บเงินของโรงเรียนปีการศึกษา พบว่าโรงเรียนไม่ได้ชี้แจงทำความเข้าใจกับผู้ปกครองถึงรายการที่เรียกเก็บ
“โรงเรียนไม่ถึง 4 เปอร์เซ็นต์ที่ยังมีการเก็บเงิน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียง และมีความจำเป็นในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้กับนักเรียนเพิ่มเติม นอกเหนือจากการจัดการศึกษาตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดย สพท.จะเป็นผู้พิจารณากลั่นกรอง” เลขาธิการ กพฐ.กล่าว
คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้สำรวจการเก็บเงินบำรุงการศึกษาของโรงเรียนทั่วประเทศ พบว่า 174 เขต มีโรงเรียนไม่เก็บค่าใช้จ่าย จำนวน 28,370 โรงเรียน คิดเป็นร้อยละ 96.34 และเก็บค่าใช้จ่ายจำนวน 1,077 โรงเรียน คิดเป็นร้อยละ 3.66 และการจัดเก็บค่าใช้จ่ายของโรงเรียนจำนวน 1,077 โรงเรียน มีการเก็บลดลง 785 โรงเรียน เก็บเพิ่มขึ้น 36 โรงเรียน เก็บเท่าเดิม 206 โรงเรียน
ส่วนเมื่อเปรียบเทียบหลักเกณฑ์การเก็บเงินบำรุงการศึกษากับปีที่ผ่านมา จากเดิมโรงเรียนที่ได้รับเงินอุดหนุนจะเรียกเก็บเงินไม่ได้ 13 รายการ เป็น 22 รายการ โครงการพัฒนาคุณภาพนักเรียนเดิมเรียกเก็บได้ 9 รายการ ไม่เกิน 2,000 บาทต่อหนึ่งภาคเรียน เป็นเก็บได้ 4 รายการ ไม่เกิน 1,000 บาท คือ 1.โครงการพัฒนาทักษะตามความถนัดของนักเรียนนอกเวลาเรียน 2.ค่าจ้างครูชาวต่างประเทศ 3.ค่าตอบแทนวิทยากรภายนอก และ4.ค่าเรียนปรับพื้นฐานความรู้ ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต้องสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่รัฐจัดให้เก็บได้เท่าที่จ่ายจริงโดยประหยัด และเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและลดปัญหาการร้องเรียน สพฐ.จึงกำชับให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) ทั่วประเทศ
“เรื่องการจัดเก็บเงินของโรงเรียนจะต้องเก็บเพื่อจัดการเรียนการสอนนอกเหนือจากหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานเท่านั้น ซึ่งโรงเรียนจะต้องจำแนกรายการที่จัดเก็บเพื่อชี้แจงทำความเข้าใจกับผู้ปกครองกรณีผู้ปกครองไม่สมัครใจไม่ต้องจ่ายเงินตามรายการนั้นๆ และการระดมทรัพยากรจากผู้ปกครอง ต้องเป็นไปตามความสมัครใจ ห้ามบังคับ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ในกรณีขอรับการบริจาคเงินจากผู้ปกครองผ่านสมาคมผู้ปกครอง เป็นจำนวนเงินเท่ากันทุกคนตามรายการที่กำหนด ทำให้ผู้ปกครองอยู่ในภาวะจำยอมมากกว่าเต็มใจ ถือว่าเป็นการบังคับผู้ปกครองโดยทางอ้อม”
คุณหญิงกษมากล่าวว่า ปัญหาที่มีการร้องเรียนจากผู้ปกครองที่ได้รับความเดือดร้อนเกี่ยวกับการเก็บเงินของโรงเรียนปีการศึกษา พบว่าโรงเรียนไม่ได้ชี้แจงทำความเข้าใจกับผู้ปกครองถึงรายการที่เรียกเก็บ
“โรงเรียนไม่ถึง 4 เปอร์เซ็นต์ที่ยังมีการเก็บเงิน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียง และมีความจำเป็นในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้กับนักเรียนเพิ่มเติม นอกเหนือจากการจัดการศึกษาตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดย สพท.จะเป็นผู้พิจารณากลั่นกรอง” เลขาธิการ กพฐ.กล่าว
