สธ.ยังตรึงมาตรการเฝ้าระวังโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ต่อเนื่อง เตือนประชาชนที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ อย่ากินยาลดไข้ก่อนลงเครื่องเพื่อปิดบังอาการไข้ เพราะหากป่วยจากเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ จะทำให้ได้รับการดูแลจากแพทย์ช้าเกินไป และนำเชื้อไปแพร่ให้คนอื่นได้
นายวิทยา แก้วภราดัยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยความคืบหน้าการเฝ้าระวังโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ชนิดเอ เอช 1 เอ็น 1 หรือไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ของกระทรวงสาธารณสุขว่า ช่วงเวลาประมาณ 1 เดือนมานี้ มาตรการเฝ้าระวังที่ดำเนินการทั่วประเทศพบว่าได้ผลดีมาก ไทยยังไม่มีปัญหาโรคแพร่ระบาดในประเทศ คงมีผู้ป่วยยืนยันเพียง 2 ราย ซึ่งเป็นการติดเชื้อมาจากต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม กระทรวงฯ จะยังไม่ลดมาตรการเฝ้าระวังทุกพื้นที่ ยังคงให้ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ รวมทั้ง อสม. และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่กว่า 1 ล้านคน ติดตามค้นหาผู้ป่วยที่เข้าข่ายเฝ้าระวัง โดยเฉพาะผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ เป็นประจำทุกวัน ซึ่งยอดผู้ป่วยในข่ายเฝ้าระวังจะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ประชาชนไม่ต้องกังวล ยิ่งมีจำนวนผู้ป่วยที่อยู่ในข่ายเฝ้าระวังมาก หมายถึงระบบการค้นหาและเฝ้าระวังโรคของกระทรวงฯ เป็นไปอย่างเข้มข้น และหากมีผู้ป่วยที่เข้าข่ายสงสัย จะได้รับการดูแลรักษาอย่างรวดเร็วและปลอดภัยที่สุด
ด้าน นายมานิต นพอมรบดี รัฐมนตรีช่วยว่าการ สธ. กล่าวว่า ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ของด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จัดระบบการเก็บประวัติด้านสุขภาพของผู้โดยสารขาเข้าจากต่างประเทศทุกราย ตามแบบ ต.8 โดยประสานการทำงานกับเจ้าหน้าที่ของด่านตรวจคนเข้าเมืองอย่างใกล้ชิด หากมีปัญหาจะสามารถติดตามตรวจสอบได้ทันที และยังคงการตรวจคัดกรองด้วยเครื่องวัดไข้อัตโนมัติทุกเที่ยวบินขาเข้าจากต่างประเทศ ตลอดวานนี้ (23 พ.ค.) ตรวจผู้โดยสารทั้งหมด 32,867 ราย พบมีไข้ 2 ราย ได้ขึ้นทะเบียนเป็นผู้อยู่ในข่ายเฝ้าระวังแล้ว โดยยอดสะสมตั้งแต่ 24 เมษายน - 23 พฤษภาคม 2552 รวมทั้งหมด 846,351 ราย
ทั้งนี้ เวลา 16.30 น. นายมานิตจะเดินทางตรวจการทำงานของเจ้าหน้าที่ด่านควบคุมโรคติดต่อฯ ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ด้วย
ด้าน นพ.ไพจิตร์ วราชิต รองปลัด สธ.ประธานศูนย์ปฏิบัติการตอบโต้ภาวะฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ได้ทราบข้อมูลจากกลุ่มผู้เดินทางกลับจากต่างประเทศว่า บางคนมีการกินยาลดไข้ก่อนลงเครื่อง เพื่อไม่ให้มีไข้เมื่อต้องผ่านเครื่องวัดไข้อัตโนมัติ เนื่องจากกลัวถูกกักตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะหากป่วยจากเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ฯ จริง จะได้รับการดูแลจากแพทย์ช้าเกินไป เป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิต และยังสามารถแพร่เชื้อให้คนรอบข้างได้อีกจำนวนมาก แต่หากได้รับการรักษาทันเวลาก็จะหายขาด
สำหรับสถานการณ์โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ของไทย วันนี้มีผู้ป่วยในข่ายเฝ้าระวังอยู่ระหว่างการสอบสวนโรคและตรวจยืนยันทางห้องปฏิบัติการ 26 ราย ยังไม่มีผู้ป่วยในข่ายสงสัยโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ฯ ต้องขอความร่วมมือประชาชน โดยเฉพาะผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ หากมีอาการเหมือนไข้หวัดภายใน 7 วัน ให้ใส่หน้ากากอนามัยและรีบไปพบแพทย์ พร้อมแจ้งประวัติการเดินทางให้ทราบด้วย เพื่อนำเข้าสู่ระบบการเฝ้าระวัง ป้องกันไม่เชื้อแพร่สู่ผู้อื่น
ส่วนสถานการณ์ทั่วโลก องค์การอนามัยโลก รายงานเมื่อเช้าวันนี้ (24 พ.ค.) ตามเวลาประเทศไทย ว่า มีรายงานผู้ป่วยทั้งหมด 12,021 ราย ใน 43 ประเทศ เสียชีวิต 86 รายเท่าเดิม มีผู้ป่วยเพิ่ม 853 ราย ประเทศที่มีรายงานผู้ป่วยรายแรกวันนี้ได้แก่ รัสเซีย 1 ราย
**จุฬาฯ ศึกษาเชื้อหวัดมรณะดื้อยา
ผศ.ดร.เจษฎา เด่นด่วงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยความเป็นไปได้ที่เชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 จะดื้อยาโอเซลทามิเวียร์ ว่าเชื้อไวรัสทุกชนิดมีโอกาสดื้อยาเกือบทุกตัว และจากการศึกษาการเปลี่ยนแปลงของไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เพื่อดูแนวโน้มดื้อยา เป็นเวลา 1 เดือน โดยรวบรวมรหัสพันธุกรรมของผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสดังกล่าว จากทั่วโลก 100 ตัวอย่าง จากข้อมูลของสถาบันสุขภาพแห่งอเมริกา พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางพันธุกรรมอย่างรวดเร็ว และมีทิศทาง ขณะที่ไวรัสทั่วไปมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร้ระเบียบ ส่วนจะมีแนวโน้มดื้อยาหรือไม่ ต้องใช้เวลา 1-2 เดือน จึงจะได้ข้อมูลที่ชัดเจน แต่ยังไม่สามารถสรุปได้ว่า การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะนำไปสู่การกลายพันธุ์ และดื้อต่อยาโอเซลทามิเวียร์หรือไม่
อย่างไรก็ตาม ไม่ต้องการให้ประชาชนตื่นตระหนก แต่ควรเฝ้าระวังไว้เท่านั้น หากเชื้อดื้อต่อยาจริง คงต้องใช้ยาซานามิเวียร์ ซึ่งเป็นยาต้านไวรัสอีกชนิดหนึ่ง และเชื่อว่าจะใช้ยาต้านไวรัสหวัดใหญ่สูตรเก่ามาผสมเป็นสูตรคอกเทล แต่วิธีที่ดีที่สุดคงต้องพัฒนาวัคซีนไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ และควบคุมการแพร่ระบาดไม่ให้ลุกลามมากขึ้น
นายวิทยา แก้วภราดัยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยความคืบหน้าการเฝ้าระวังโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ชนิดเอ เอช 1 เอ็น 1 หรือไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ของกระทรวงสาธารณสุขว่า ช่วงเวลาประมาณ 1 เดือนมานี้ มาตรการเฝ้าระวังที่ดำเนินการทั่วประเทศพบว่าได้ผลดีมาก ไทยยังไม่มีปัญหาโรคแพร่ระบาดในประเทศ คงมีผู้ป่วยยืนยันเพียง 2 ราย ซึ่งเป็นการติดเชื้อมาจากต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม กระทรวงฯ จะยังไม่ลดมาตรการเฝ้าระวังทุกพื้นที่ ยังคงให้ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ รวมทั้ง อสม. และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่กว่า 1 ล้านคน ติดตามค้นหาผู้ป่วยที่เข้าข่ายเฝ้าระวัง โดยเฉพาะผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ เป็นประจำทุกวัน ซึ่งยอดผู้ป่วยในข่ายเฝ้าระวังจะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ประชาชนไม่ต้องกังวล ยิ่งมีจำนวนผู้ป่วยที่อยู่ในข่ายเฝ้าระวังมาก หมายถึงระบบการค้นหาและเฝ้าระวังโรคของกระทรวงฯ เป็นไปอย่างเข้มข้น และหากมีผู้ป่วยที่เข้าข่ายสงสัย จะได้รับการดูแลรักษาอย่างรวดเร็วและปลอดภัยที่สุด
ด้าน นายมานิต นพอมรบดี รัฐมนตรีช่วยว่าการ สธ. กล่าวว่า ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ของด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จัดระบบการเก็บประวัติด้านสุขภาพของผู้โดยสารขาเข้าจากต่างประเทศทุกราย ตามแบบ ต.8 โดยประสานการทำงานกับเจ้าหน้าที่ของด่านตรวจคนเข้าเมืองอย่างใกล้ชิด หากมีปัญหาจะสามารถติดตามตรวจสอบได้ทันที และยังคงการตรวจคัดกรองด้วยเครื่องวัดไข้อัตโนมัติทุกเที่ยวบินขาเข้าจากต่างประเทศ ตลอดวานนี้ (23 พ.ค.) ตรวจผู้โดยสารทั้งหมด 32,867 ราย พบมีไข้ 2 ราย ได้ขึ้นทะเบียนเป็นผู้อยู่ในข่ายเฝ้าระวังแล้ว โดยยอดสะสมตั้งแต่ 24 เมษายน - 23 พฤษภาคม 2552 รวมทั้งหมด 846,351 ราย
ทั้งนี้ เวลา 16.30 น. นายมานิตจะเดินทางตรวจการทำงานของเจ้าหน้าที่ด่านควบคุมโรคติดต่อฯ ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ด้วย
ด้าน นพ.ไพจิตร์ วราชิต รองปลัด สธ.ประธานศูนย์ปฏิบัติการตอบโต้ภาวะฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ได้ทราบข้อมูลจากกลุ่มผู้เดินทางกลับจากต่างประเทศว่า บางคนมีการกินยาลดไข้ก่อนลงเครื่อง เพื่อไม่ให้มีไข้เมื่อต้องผ่านเครื่องวัดไข้อัตโนมัติ เนื่องจากกลัวถูกกักตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะหากป่วยจากเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ฯ จริง จะได้รับการดูแลจากแพทย์ช้าเกินไป เป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิต และยังสามารถแพร่เชื้อให้คนรอบข้างได้อีกจำนวนมาก แต่หากได้รับการรักษาทันเวลาก็จะหายขาด
สำหรับสถานการณ์โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ของไทย วันนี้มีผู้ป่วยในข่ายเฝ้าระวังอยู่ระหว่างการสอบสวนโรคและตรวจยืนยันทางห้องปฏิบัติการ 26 ราย ยังไม่มีผู้ป่วยในข่ายสงสัยโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ฯ ต้องขอความร่วมมือประชาชน โดยเฉพาะผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ หากมีอาการเหมือนไข้หวัดภายใน 7 วัน ให้ใส่หน้ากากอนามัยและรีบไปพบแพทย์ พร้อมแจ้งประวัติการเดินทางให้ทราบด้วย เพื่อนำเข้าสู่ระบบการเฝ้าระวัง ป้องกันไม่เชื้อแพร่สู่ผู้อื่น
ส่วนสถานการณ์ทั่วโลก องค์การอนามัยโลก รายงานเมื่อเช้าวันนี้ (24 พ.ค.) ตามเวลาประเทศไทย ว่า มีรายงานผู้ป่วยทั้งหมด 12,021 ราย ใน 43 ประเทศ เสียชีวิต 86 รายเท่าเดิม มีผู้ป่วยเพิ่ม 853 ราย ประเทศที่มีรายงานผู้ป่วยรายแรกวันนี้ได้แก่ รัสเซีย 1 ราย
**จุฬาฯ ศึกษาเชื้อหวัดมรณะดื้อยา
ผศ.ดร.เจษฎา เด่นด่วงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยความเป็นไปได้ที่เชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 จะดื้อยาโอเซลทามิเวียร์ ว่าเชื้อไวรัสทุกชนิดมีโอกาสดื้อยาเกือบทุกตัว และจากการศึกษาการเปลี่ยนแปลงของไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เพื่อดูแนวโน้มดื้อยา เป็นเวลา 1 เดือน โดยรวบรวมรหัสพันธุกรรมของผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสดังกล่าว จากทั่วโลก 100 ตัวอย่าง จากข้อมูลของสถาบันสุขภาพแห่งอเมริกา พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางพันธุกรรมอย่างรวดเร็ว และมีทิศทาง ขณะที่ไวรัสทั่วไปมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร้ระเบียบ ส่วนจะมีแนวโน้มดื้อยาหรือไม่ ต้องใช้เวลา 1-2 เดือน จึงจะได้ข้อมูลที่ชัดเจน แต่ยังไม่สามารถสรุปได้ว่า การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะนำไปสู่การกลายพันธุ์ และดื้อต่อยาโอเซลทามิเวียร์หรือไม่
อย่างไรก็ตาม ไม่ต้องการให้ประชาชนตื่นตระหนก แต่ควรเฝ้าระวังไว้เท่านั้น หากเชื้อดื้อต่อยาจริง คงต้องใช้ยาซานามิเวียร์ ซึ่งเป็นยาต้านไวรัสอีกชนิดหนึ่ง และเชื่อว่าจะใช้ยาต้านไวรัสหวัดใหญ่สูตรเก่ามาผสมเป็นสูตรคอกเทล แต่วิธีที่ดีที่สุดคงต้องพัฒนาวัคซีนไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ และควบคุมการแพร่ระบาดไม่ให้ลุกลามมากขึ้น