สธ.เผยพบผู้ป่วยต่างชาติเป็นโรคลีเจียนแนร์รายแรกของปีที่ติดเชื้อในไทย นักระบาดชี้โรคระบาดเก่าไอกรน หัด เตรียมกลับมาใหม่ จับตาโรคอุบัติใหม่ 75% มาจากสัตว์ ระบุชาวบ้านจับค้างคาวเอาเนื้อขายกิน สุดเสี่ยงเป็นโรคไข้สมองอักเสบนิป้าไวรัส
วันที่ 22 พฤษภาคม ที่ จ.เชียงใหม่ นพ.ภาสกร อัครเสวี ผู้อำนวยการสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) กล่าวในการประชุมโรคไข้หวัดใหญ่และโรคติดต่ออุบัติใหม่ สำหรับแพทย์ บุคลากรสาธารณสุขว่า ได้รับรายงานจากรัฐบาลโปรตุเกสเมื่อคืนวันที่ 21 พฤษภาคมที่ผ่านมาว่า มีชาวโปรตุเกส 1 ราย เพิ่งเดินทางกลับจากการท่องเที่ยวในประเทศไทยและมีการป่วยเป็นโรคลีเจียนแนร์ ซึ่งจากการซักประวัติเส้นทางการเดินทางในประเทศไทยพบว่า นักท่องเที่ยวรายดังกล่าวบินตรงมาประเทศไทย ไม่ได้แวะพักที่ประเทศอื่น และในระหว่างอยู่ในประเทศไทย มีการเข้าพักโรงแรม 2 แห่ง ในกรุงเทพฯ และภาคใต้ เป็นโรงแรมระดับต่ำกว่า 4 ดาว ดังนั้นจึงถือว่าเป็นผู้ป่วยรายแรกของปีนี้ที่ติดเชื้อในประเทศไทย แต่กลับไปป่วยที่ประเทศโปรตุเกส
นพ.ภาสกร กล่าวต่อว่า โรครีเจียนแนร์ เป็นโรคติดต่อจากสิ่งแวดล้อมที่ไม่สะอาด โดยเกิดจากเชื้อแบคทีเรียอาศัยอยู่ในหอพึ่งเย็นของเครื่องปรับอากาศที่สกปรก เชื้อจะแพร่ผ่านอากาศที่ออกมาจากเครื่องปรับอากาศ ซึ่งแต่ปีจะประเทศไทยมีรายงานผู้ป่วยโรคนี้ไม่ถึง 10 ราย และเกือบทั้งหมดเป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ และกลุ่มเสี่ยงที่โรคเรื้อรัง หรือโรคประจำตัว หรือมีปัจจัยเสี่ยงอื่น เช่น สูบบุหรี่ ซึ่งตรงกับผู้ป่วยชาวโปรตุเกสรายนี้ที่สูบบุหรี่
สำหรับอาการของโรค คือ ทำให้ปอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียแต่ไม่มาก ไอ และมีไข้สูง และอาจมีอาการหอบในบางราย แต่เชื้อไม่สามารถแพร่ระบาดหนักเหมือนไข้หวัดใหญ่ได้
“ขณะนี้หน่วยสอบสวนโรคได้ติดต่อไปยังโรงแรมที่ผู้ป่วยชาวโปรตุเกสได้เข้าพักทั้ง 2 แห่งแล้ว เพื่อให้เร่งทำความสะอาดหอพึ่งเย็นเครื่องปรับอากาศ ปรับระดับคอลลีนเพื่อฆ่าเชื้อให้มากขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้นักท่องเที่ยวรายอื่นติดเชื้อดังกล่าวเพิ่มขึ้นอีก อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่พบว่ามีนักท่องเที่ยว หรือพนักงานในโรงแรมทั้ง 2 แห่งติดเชื้อแต่อย่างใด แต่เนื่องจากโรคนี้เป็นโรคเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ดังนั้น โรงแรมต่างๆ จึงควรรักษาความสะอาดให้ได้มาตรฐาน” นพ.ภาสกรกล่าว
ด้าน ศ.เกียรติคุณ นพ.ประเสริฐ ทองเจริญ ประธานมูลนิธิส่งเสริมการศึกษาไข้หวัดใหญ่ กล่าวว่า โรคอุบัติใหม่ที่มีการระบาด พบว่าร้อยละ 75 เกิดมาจากสัตว์ต่างๆ ทั้งสัตว์ป่า และสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะสัตว์ต่างถิ่นที่ทำการลักลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายโดยไม่ผ่านการกักกันโรค จะมีความเสี่ยงสูงและกลายเป็นแหล่งแพร่เชื้อ โดยโรคที่มีความรุนแรงที่เกิดจากสัตว์ เช่น ค้างคาวแม่ไก่ ทำให้เกิดโรคไข้สมองอักเสบนิป้าไวรัส ซึ่งขณะนี้พบว่าที่จ.สมุทรสาคร พบค้างคาวแม่ไก่นับแสนตัว และมีการเก็บเชื้อตรวจแล้วพบว่า มีเชื้อที่ทำให้เกิดโรคระบาดขึ้นได้ ซึ่งน่าเป็นห่วงเพราะชาวบ้านแถบดังกล่าวมีการซื้อขาย และบริโภคเป็นอาหาร อาจจะทำให้เกิดการติดเชื้อและเกิดการระบาดขึ้นได้ หรืออย่างไข้สมองอักเสบ เวสท์ไนล์ ที่เกิดการระบาดในประเทศมาเลเซีย จากฟาร์มหมู ซึ่งต้องเฝ้าระวังว่าอาจเกิดระบาดเข้ามายังประเทศไทยได้
รศ.(พิเศษ)นพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ ผู้ทรงคุณวุฒิ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ต่อจากนี้อาจจะได้เห็นโรคระบาดที่เคยหายไปกลับมาใหม่ เพราะภูมิต้านทานโรคตามธรรมชาติหมดไป คนรุ่นใหม่จึงไม่มีภูมิคุ้มกันและทำให้เกิดโรคขึ้นได้ ประกอบกับไม่มีการฉีดวัคซีนต่อเนื่องตามคำแนะนำ ซึ่งบางโรคต้องฉีดทุก 10 ปี เช่น โรคไอกรน ที่เริ่มพบการรายงานตัวเลขผู้ป่วยในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา และมีผู้ป่วยในกลุ่มอายุ 25-44 ปี เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ไม่เคยพบรายงาน ที่น่าเป็นห่วงคือ คนกลุ่มนี้จะแพร่เชื้อไปยังเด็กเล็กที่ไม่มีภูมิคุ้มกัน ซึ่งจะแสดงอาการมากกว่าเมื่อเทียบกับเชื้อที่อยู่ในผู้ใหญ่ หรือ โรคหัด ซึ่งเป็นโรคที่เคยระบาดในอดีต ซึ่งแพทย์จบใหม่อาจจะวินิจฉัยผิด และรักษาไม่ถูกจุด เพราะเป็นโรคที่หายไปนานแล้ว โดยจะต้องเฝ้าระวังในสถานที่ที่อยู่เป็นกลุ่มใหญ่ เช่น หอพัก ค่ายทหาร เป็นต้น