รมว.แรงงาน เตรียมตรวจเยี่ยมและหาแนวทางขยายตลาดและคุ้มครองแรงงานไทยในเกาหลีระหว่าง 9-12 เม.ย.นี้ พร้อมเตรียมขยายตลาดแรงงานในแดนกิมจิอีก 10,000 ตำแหน่ง ขณะที่ปัจจุบันแรงงานไทยในเกาหลีที่ไปอย่างถูกกฎหมายมีกว่า 23,000 คน สร้างรายได้ส่งกลับประเทศปีละ 7,748 ล้านบาท
กระทรวงแรงงานแจ้งว่า ระหว่างวันที่ 9-12 เมษายนนี้ นายไพฑูรย์ แก้วทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมนายสมชาย ชุ่มรัตน์ ปลัดกระทรวงแรงงาน เดินทางไปตรวจเยี่ยมและปฏิบัติภารกิจที่สาธารณรัฐเกาหลี เกี่ยวกับการหาแนวทางการคุ้มครองส่งเสริมขยายตลาดแรงงานไทยกับผู้ประกอบการเกาหลี หารือแนวทางการคืนเงินสะสมเลี้ยงชีพกับสำนักงานประกันสุขภาพเกาหลี ตลอดจนประชุมหารือแนวทางการจ้างแรงงานไทยกับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมของเกาหลี
นอกจากนี้ นายไพฑูรย์จะลงนามบันทึกความเข้าใจฉบับใหม่ร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเกาหลี เนื่องจากการลงนามที่ผ่านมาในอดีตจำนวน 2 ครั้ง สิ้นสุดอายุในวันที่ 29 สิงหาคม 2551 แต่เนื่องจากบันทึกความเข้าใจฯ ฉบับใหม่ที่จะเกิดขึ้นนี้ยังไม่แล้วเสร็จ แต่เพื่อมิให้กระทบต่อการดำเนินการจัดส่งคนหางานไปทำงาน อธิบดีของทั้ง 2 ฝ่าย จึงได้ลงนามต่ออายุการบังคับใช้บันทึกความเข้าใจฯ ฉบับเดิมออกไปถึงวันที่ 27 เมษายน 2552 สำหรับสาระสำคัญของบันทึกความเข้าใจฉบับใหม่มีรายละเอียดเพิ่มเติมในเรื่องขั้นตอนการปฏิบัติงาน ระบุหน่วยงานเกาหลีที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบการดำเนินการสอบความสามารถภาษาเกาหลีเพื่อการคัดเลือกคนหางาน และยังระบุหน้าที่ของฝ่ายไทยในการดำเนินการสอบความสามารถภาษาเกาหลี (EPS-KLT) รวมถึงการยกเว้นภาษีศุลกากร และการอำนวยความสะดวกในการผ่านพิธีการศุลกากรสำหรับวัสดุอุปกรณ์ที่นำเข้ามาประเทศไทยเพื่อใช้ในการสอบความสามารถภาษาเกาหลี
การลงนามบันทึกความเข้าใจนี้จะเกิดประโยชน์ต่อแรงงานไทยคือ เป็นการจัดหางานให้ประชาชนได้มีงานทำในต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันตลาดแรงงานเกาหลีเป็นที่นิยมของคนหางานไทยจำนวนมาก เนื่องจากเสียค่าใช้จ่ายน้อยเท่าที่จำเป็น ในการเดินทางไปทำงานสามารถอยู่ทำงานได้ถึง 3 ปี และหากนายจ้างเดิมยังต้องการจ้างต่อก็สามารถทำงานต่อไปได้โดยการต่อสัญญาปีต่อปี หากมีการลงนามในบันทึกความเข้าใจฉบับใหม่ ประเทศไทยจะได้รับการจัดสรรโควตาในการจัดส่งคนงานไทยไปทำงานในสาธารณรัฐเกาหลีจำนวน 10,000 คน ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานได้จัดส่งแรงงานไทยไปทำงานในสาธารณรัฐเกาหลีตามพันธบันทึกความเข้าใจกับกระทรวงแรงงานเกาหลีมาตั้งแต่ปี 2547 จนถึงปัจจุบันรวม 23,808 คน แรงงานไทยเหล่านี้ได้ทำให้เกิดผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากรายได้ส่งกลับประเทศเดือนละ 645.6 ล้านบาท หรือปีละ 7,748 ล้านบาท ซึ่งคิดจากค่าจ้างตามสัญญาเฉลี่ยประมาณคนละ 27,120 บาทต่อเดือน
กระทรวงแรงงานแจ้งว่า ระหว่างวันที่ 9-12 เมษายนนี้ นายไพฑูรย์ แก้วทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมนายสมชาย ชุ่มรัตน์ ปลัดกระทรวงแรงงาน เดินทางไปตรวจเยี่ยมและปฏิบัติภารกิจที่สาธารณรัฐเกาหลี เกี่ยวกับการหาแนวทางการคุ้มครองส่งเสริมขยายตลาดแรงงานไทยกับผู้ประกอบการเกาหลี หารือแนวทางการคืนเงินสะสมเลี้ยงชีพกับสำนักงานประกันสุขภาพเกาหลี ตลอดจนประชุมหารือแนวทางการจ้างแรงงานไทยกับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมของเกาหลี
นอกจากนี้ นายไพฑูรย์จะลงนามบันทึกความเข้าใจฉบับใหม่ร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเกาหลี เนื่องจากการลงนามที่ผ่านมาในอดีตจำนวน 2 ครั้ง สิ้นสุดอายุในวันที่ 29 สิงหาคม 2551 แต่เนื่องจากบันทึกความเข้าใจฯ ฉบับใหม่ที่จะเกิดขึ้นนี้ยังไม่แล้วเสร็จ แต่เพื่อมิให้กระทบต่อการดำเนินการจัดส่งคนหางานไปทำงาน อธิบดีของทั้ง 2 ฝ่าย จึงได้ลงนามต่ออายุการบังคับใช้บันทึกความเข้าใจฯ ฉบับเดิมออกไปถึงวันที่ 27 เมษายน 2552 สำหรับสาระสำคัญของบันทึกความเข้าใจฉบับใหม่มีรายละเอียดเพิ่มเติมในเรื่องขั้นตอนการปฏิบัติงาน ระบุหน่วยงานเกาหลีที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบการดำเนินการสอบความสามารถภาษาเกาหลีเพื่อการคัดเลือกคนหางาน และยังระบุหน้าที่ของฝ่ายไทยในการดำเนินการสอบความสามารถภาษาเกาหลี (EPS-KLT) รวมถึงการยกเว้นภาษีศุลกากร และการอำนวยความสะดวกในการผ่านพิธีการศุลกากรสำหรับวัสดุอุปกรณ์ที่นำเข้ามาประเทศไทยเพื่อใช้ในการสอบความสามารถภาษาเกาหลี
การลงนามบันทึกความเข้าใจนี้จะเกิดประโยชน์ต่อแรงงานไทยคือ เป็นการจัดหางานให้ประชาชนได้มีงานทำในต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันตลาดแรงงานเกาหลีเป็นที่นิยมของคนหางานไทยจำนวนมาก เนื่องจากเสียค่าใช้จ่ายน้อยเท่าที่จำเป็น ในการเดินทางไปทำงานสามารถอยู่ทำงานได้ถึง 3 ปี และหากนายจ้างเดิมยังต้องการจ้างต่อก็สามารถทำงานต่อไปได้โดยการต่อสัญญาปีต่อปี หากมีการลงนามในบันทึกความเข้าใจฉบับใหม่ ประเทศไทยจะได้รับการจัดสรรโควตาในการจัดส่งคนงานไทยไปทำงานในสาธารณรัฐเกาหลีจำนวน 10,000 คน ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานได้จัดส่งแรงงานไทยไปทำงานในสาธารณรัฐเกาหลีตามพันธบันทึกความเข้าใจกับกระทรวงแรงงานเกาหลีมาตั้งแต่ปี 2547 จนถึงปัจจุบันรวม 23,808 คน แรงงานไทยเหล่านี้ได้ทำให้เกิดผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากรายได้ส่งกลับประเทศเดือนละ 645.6 ล้านบาท หรือปีละ 7,748 ล้านบาท ซึ่งคิดจากค่าจ้างตามสัญญาเฉลี่ยประมาณคนละ 27,120 บาทต่อเดือน
