xs
xsm
sm
md
lg

“เพชร โอสถานุเคราะห์” ผมจะทำ ม.กรุงเทพให้เป็น CREATIVE UNIVERSITY

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


หากเอ่ยชื่อ “เพชร โอสถานุเคราะห์” ผู้คนคงรู้จักเขากับบทเพลงที่คุ้นหูและติดปากอย่าง “เพียงชายคนนี้(ไม่ใช่ผู้วิเศษ)” หรือภาพลักษณ์ที่โดดเด่น ชนิดไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน ทั้งทรงผมที่หยิกหยอยและฟูฟ่องเหมือนกับเส้นบะหมี่ก้อนโตๆ เช่นเดียวกับเคราที่ตั้งใจไว้ให้รับกับทรงผม รวมถึงสไตล์การแต่งตัวที่มีแนวทางเป็นของตัวเอง

แต่เชื่อว่าหลายคนคงไม่ทราบว่า ผู้ชายคนนี้มีตำแหน่งเป็นถึงประธานบริหารของ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งแรกของประเทศไทยที่เพชรรับช่วงการทำงานมาจากผู้เป็นพ่อ “สุรัตน์ โอสถานุเคราะห์” ที่ล่วงลับไปแล้ว

แน่นอนว่า เมื่อคนไม่ธรรมดาเข้ามาบริหารมหาวิทยาลัย วิสัยทัศน์ ตลอดจนนโยบายในการทำงานก็ย่อมไม่ธรรมดา ยิ่งเมื่อได้ยินลูกน้องเรียกสรรพนามแทนตัวเขาว่า “อาจารย์เพชร” ด้วยแล้ว ยิ่งน่าบุกเข้าไปค้นหามากขึ้นเป็นพิเศษ

- ในยุคที่คุณเพชรเข้ามาบริหาร ม.กรุงเทพ จะมีความแตกต่างจากยุคของคุณพ่อ(สุรัตน์ โอสถานุเคราะห์) อย่างไรบ้าง

ม.กรุงเทพที่คุณพ่อของผมก่อตั้งขึ้นมานั้น ต้องบอกว่าเป็นสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งแรกในประเทศไทย ซึ่งผมเห็นว่า เป็นความคิดริเริ่มที่ดีมาก พอผมเข้ามาบริหาร ผมก็มาวิเคราะห์ดูว่ากึ๋นของเราคืออะไร จุดยืนของเราคืออะไร และก็เห็นว่ากึ๋นของเราคือความ Creative เพราะฉะนั้น ม.กรุงเทพก็จะเอากึ๋นที่เรามองว่าเป็นจุดแข็งของเราอยู่เรามาทำให้เป็นจุดยืนที่เห็นเด่นชัด สรุปก็คือ ผมต้องการทำให้ ม.กรุงเทพเป็น Creative University โดยมุ่งเน้นพัฒนานักศึกษาให้มีความ Creative และให้มีจิตวิญญาณของความเป็นผู้ประกอบการด้วย เพราะถ้า Creative ไปอย่างเลื่อนลอย มันก็ขายไม่ได้ เพื่อที่จะให้นักศึกษาออกไปสู่ Creative Industry และ Creative Economy

ถามว่าหนักใจไหมกับงานตรงนี้ ไม่หนักใจนะ เพราะความจริงผมก็ไม่ได้บริหารเท่าไหร่ ผมแค่ให้ไอเดีย มาจุดประกายความคิด มาช่วยวางทิศทางให้ชัดเจนขึ้น ก็สนุก บรรรยากาศในมหาวิทยาลัยมันสนุก

- แล้วนิยามของคำว่า Creative University ของคุณเพชร แตกต่างจากมหาวิทยาลัยอื่นๆ อย่างไร

ก่อนที่เราจะมองตัวเองว่า เรา Creative เราได้ศึกษามาแล้ว เราเชื่ออย่างลึกซึ้งว่า คนเรามีความ Creative ทุกคนตั้งแต่เด็ก สังเกตเห็นได้ว่า เด็กแต่ละคนมีจินตนาการกว้างไกล เรียนไปเรียนมากลับหายไป ทำไม มันถูกตีกรอบหรือเปล่า ขาดโอกาสหรืออะไรหรือเปล่า

เราไม่ได้พูดว่า เรา Creative อยู่คนเดียว แต่เรากำลังพูดว่า เราให้ความสำคัญเรื่องนี้มาโดยตลอด โดยเฉพาะ Creative Environment เพราะการที่เราจะเป็น Creative University ได้ เราต้องมี Creative Environment นี่คือสิ่งแรกซึ่งที่ผ่านมา ม.กรุงเทพได้จัดสภาพแวดล้อมของมหาวิทยาลัยให้เอื้ออำนวยให้เกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรรค์ เรากล้าพูดได้ว่า เราเป็นสถาบันการศึกษาแห่งเดียวที่มีอาคารเรียนได้รับรางวัลยอดเยี่ยมจากสมาคมสถาปนิกสยามหลายอาคารด้วยกัน

ผมเชื่อว่า ความคิดของเราเวลา Creative พุ่งพล่านออกมา มันไม่ใช่ว่าพุ่งพล่านเฉพาะในห้องเรียน เผลอๆ ในห้องเรียนมันอาจจะไม่ Creative ด้วย แต่ว่ามันอาจเกิดระหว่างที่กำลังนั่งคุยกับเพื่อน นั่งแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน นี่คือสิ่งที่เรารับประกันว่า ที่อื่นไม่มี หรือมีก็ไม่เท่า

นอกเหนือไปจากนั้น เราก็มีหลักสูตรที่ Creative หรือ Creative Education ซึ่งไม่ใช่ว่าเพิ่งมี ยกตัวอย่างเช่น เราเป็นสถาบันการศึกษาแห่งแรกในระดับอุดมศึกษาที่มีปริญญาเอกทางด้านนิเทศศาสตร์ และเป็นแห่งแรกอีกเหมือนกันที่มีปริญญาเอกที่ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยต่างประเทศถึง 2 ปริญญาคือ ทางด้านนิเทศศาสตร์และบริหารธุรกิจ ในระดับปริญญาตรี เราก็มีหลักสูตรวิศวกรรมศาสตร์ทางด้านมัลติมีเดียและอินเทอร์เน็ต เป็นแห่งแรก ซึ่งตอนนี้ก็มีคนเลียนแบบแล้ว ในระดับปริญญาโท เรามีถึง 3 หลักสูตรที่เป็นแห่งแรกและยังเป็นแห่งเดียวอยู่ คือปริญญาโททางด้าน Entertainment Management and Production ปริญญาโททางด้าน Design Management และปริญญาโททางด้านกฎหมายลิขสิทธิ์ทางปัญญา

ขณะเดียวกันเราก็มีนักศึกษาได้รับรางวัลมากมาย เช่น นักศึกษาชั้นปีที่ 1 ที่ชนะรางวัลการออกแบบเกมในระดับเอเชียแปซิฟิก เรามีเด็กที่ชนะการประกวดเรียงความภาษาอังกฤษเรื่อง How to Promote Democracy และได้รับเชิญให้เข้าร่วมชมการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ครั้งล่าสุด พวกที่ชนะประกวดแผนธุรกิจของ MBA ก็มี แล้วคงไม่มีใครรู้ว่าทีมแรกที่ไปชนะการประกวดหุ่นยนต์เตะฟุตบอลในระดับนานาชาติคือเด็กคณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.กรุงเทพ ในปี ค.ศ.1999 เรามีคณะละครคณะแรกในเอเชียที่ได้รับเลือกให้ไปแสดงในกรุงปราก กึ๋นของเราเป็นอย่างนี้มาโดยตลอด

ที่สำคัญคือเรายังมีทุน B.U. Creative ที่จะมอบให้กับเด็กที่มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ โดยให้ส่ง Portfolio เข้ามา ซึ่งเราไม่ได้จำกัดเฉพาะทางด้านศิลปะหรือการออกแบบเท่านั้น อะไรก็แล้วแต่ที่เป็นโปรเจ็กต์ที่แสดงว่าสร้างสรรค์เราให้หมด ไม่ว่าจะเป็นคณะบัญชี เศรษฐศาสตร์ หรือบริหารธุรกิจ ซึ่งตอนนี้ก็มีเด็กสมัครเข้ามาหลายร้อยคน

ตัวผมเองถนัดและมีประสบการณ์อยู่ใน Creative Economy มานาน ตั้งแต่เคยเป็น Creative Director ประธานของบริษัทโฆษณาสปา แอดเวอไทซิ่ง รวมไปถึงเป็นผู้ก่อตั้งและทำนิตยสาร รายการทีวี คือมันมีองค์ประกอบที่ตัวเราเหมาะที่จะชูธงเรื่องนี้ แล้วเราก็มี Connection กับวงการสูง เรียกว่าในแทบจะทุกสาขา

- การที่คุณเพชรต้องการทำให้ ม.กรุงเทพเป็น Creative University นั้น เป็นเพราะเห็นความผิดปกติในระบบการศึกษาของชาติด้วยหรือเปล่า

ใช่ ระบบการศึกษาของทั้งประเทศ ตั้งแต่อนุบาล ประถม มัธยม ก็ยังอยู่ในกรอบจนเกินไป เริ่มมีคนเห็นในทิศทางนี้ว่าจำเป็นต้องเปิดโลกทัศน์ของเด็ก เป็นการศึกษาที่เปิดกว้างกว่าการยัดเยียด ครูว่าอย่างนี้ เด็กว่าตาม แต่ผมเชื่อว่า ไม่ว่าจะอยู่ในกรอบอย่างไร ถ้าคนเรา Creative มันก็กระโดดออกมาจากรอบจนได้ วันหนึ่งก็ต้องฉายแสงไม่ช้าก็เร็ว

- จะมีการลงทุนอะไรเพิ่มเติมหรือไม่ อย่างไร

นอกจากเรื่องทุนที่จะขยายเพิ่มขึ้นแล้ว ในแง่ของอาคารเรียน เรากำลังสร้างตึกใหม่ที่ใช้ชื่อในเบื้องต้นว่า B.U.Land Mark ซึ่งกำลังจะเสร็จแล้วอยู่ที่วิทยาเขตรังสิต ก็น่าจะเป็นตึกที่คนทั้งชาติภาคภูมิใจ และจะได้รับการยอมรับในระดับโลกแน่นอน มันจะเป็นสัญลักษณ์ของความ Creative ของเรา ใช้งบประมาณพันกว่าล้าน เรากำลังจะจัดตั้งเซ็นเตอร์อีก 3 เซ็นเตอร์เพื่อมาเสริมจุดยืนตรงนี้ คือ B.U. Creative Center เพื่อที่ใช้สำหรับจัดเวิร์กชอปให้นักศึกษาและคนในวงการ โดยมีที่ปรึกษาที่เป็นผู้เชี่ยวชาญจากวงการต่างๆ ทั้งผู้กำกับภาพยนตร์ นักโฆษณา นักเขียน ดีไซน์เนอร์ รวมถึงผู้ประกอบการต่างๆ

คือผมมองว่า มันไม่มีสินค้าอะไรเลยที่ไม่ผ่านกระบวนการ Creative มา เช่น รถยนต์ก็ต้องมีการออกแบบ เสื้อผ้า ไอพอด มันไม่ใช่เรื่องของการตลาดอย่างเดียว แม้กระทั่งการคิดสูตรอาหาร ก็ต้องมีความ Creative

แล้วเราก็จะมีศูนย์วิจัยที่กำลังดำเนินการจัดตั้งโดยเฉพาะ คือ Research Insitute for Creative Economy(RICE) สำหรับทำวิจัย เพราะยังขาดข้อมูลพื้นฐานอีกเยอะ และสุดท้ายคือสถาบันผู้ประกอบที่เราใช้ชื่อว่า Creative Entrepreneurship Development Institute(CEDI) ซึ่งมีคุณกนก อภิรดีเป็นประธานบริหาร โดยร่วมมือกับ Babson University ของสหรัฐฯ

เราอยากให้นึกศึกษามีจิตวิญญาณของผู้ประกอบการด้วย เวลาไปทำงานในองค์กรจะไม่ใช่แค่ทำงานไปวันๆ แต่จะทำและคิดอย่างคนที่เป็นเจ้าของ

- ถ้ามหาวิทยาลัยอื่นจะดำเนินรอยตามจะทำอย่างไร กลัวไหม

ไม่กลัว เพราะผมไม่ได้มองว่าเป็นการแข่งขันที่ตื้นๆ แต่เรากำลังทำเพื่อสังคมและประเทศชาติ และเราก็เปิดกว้างด้วย ไม่ได้สงวนลิขสิทธิ์ ถ้าที่อื่นจะเลียนแบบเรา ไปเปลี่ยนทรงผมก่อนนะครับ อย่างน้อยทรงผมแบบนี้ไม่มีแน่ แต่งตัวสู้ให้ได้นะครับ(หัวเราะ) นี่ผมแซวเล่นนะ

- ในยุคที่ประเทศกำลังเผชิญภาวะวิกฤต มีความกังวลมากน้อยแค่ไหนกับการแข่งขันกับมหาวิทยาลัยอื่นๆ

เป็นเรื่องที่ต้องคำนึง ก็ต้องหาทางที่จะประชาสัมพันธ์ส่งข่าวสารให้นักเรียนพ่อแม่ผู้ปกครองได้รับรู้ว่า ม.กรุงเทพมีความมุ่งมั่นแบบนี้นะ ถ้าเขาเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญในชีวิต ถ้าเขาอยากจะมาเรียนในที่ที่เขาเรียนแล้วมีความสุข สนุก ได้คิด สนุกกับการเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ ก็ต้องเลือกเรา ถ้าคุณเลือกเรียนที่นี่ สิ่งที่เป็นกำแพงขวางกั้นในหัวของคุณ วันหนึ่งก็ต้องหายไป

การแข่งขันเป็นเรื่องปกตินะ เราก็ยอมรับว่าโลกนี้ต้องมีการแข่งขัน

- ในแต่ละวันใช้ชีวิตการทำงานอยู่ใน ม.กรุงเทพมากน้อยแค่ไหน

เยอะ เวลาเดินในมหาวิทยาลัยนักศึกษาก็รู้จัก เข้ามาทักทาย ก็โชคดีที่ผมเคยอยู่ในวงการบันเทิง ตรงนี้เป็นสิ่งที่คงจะไม่เกิดขึ้นกับผู้บริหารมหาวิทยาลัยอื่นเท่าไหร่ คือผมนั่งๆ อยู่ เด็กไม่ใช่ยกมือไหว้อย่างเดียว เดินเข้ามาขอนั่งคุยด้วย เป็นเด็กจากภาควิชาภาพยนตร์ เรียกผมว่าพี่อีกต่างหาก พี่เพชรขอนั่งคุยด้วยหน่อย มีเรื่องจะปรึกษา เราก็นั่งจับเข่าคุยกันเป็นชั่วโมงเลย คือเด็กเขามองว่า เราไม่ใช่ผู้ใหญ่ที่คุยด้วยไม่รู้เรื่อง ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ว่าจะเกิดขึ้นได้ในทุกที่ และก็ไม่ใช่ผมคนเดียว ที่นี่ก็มีอาจารย์ที่ไส่กางเกงยีนเดินคุยกับเด็กได้ เราก็มีอาจารย์รุ่นใหม่ที่มีความคิดทันสมัย อาจารย์รุ่นเก่าก็มีแต่เราก็ได้ไปสัมมนากันไปเรียบร้อยแล้วว่า ถ้าคิดไม่ออก ก็เอื้ออำนวยให้คนอื่นคิดแล้วกันนะ อย่าไปปิดกั้น(หัวเราะ) เพราะคนเราจะคิดตลอดคงไม่ไหว

- ปัจจุบันยอดนักศึกษามีประมาณเท่าไหร่

เกือบ 3 หมื่นคน ผมคิดว่าคงไม่ขยายเพิ่ม เป็นตัวเลขที่กำลังดี แต่มันก็ยังมีบางคณะที่เติบโตได้มากกว่านี้อีก หรือเป็นคณะที่ยังไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลาย ทั้งๆ ที่เป็นที่ยอมรับอย่างสูงในวงการ เช่น คณะบัญชีที่อยู่ระดับบิ๊กโฟร์ซึ่งบริษัทห้างร้านต้องการตัวสูง หรือด้านกฎหมาย เศรษฐศาสตร์ที่ยังโตได้อีก ซึ่งคงหาทางทำให้มันดัง ทำให้เขารู้ว่าเราเจ๋งยังไง

อีกอย่างหนึ่งที่อยากฝากไว้ก็คือ การทำมหาวิทยาลัยกรุงเทพตั้งแต่สมัยผู้ก่อตั้งคือคุณพ่อผมและตัวผมเอง เราไม่ได้มองมหาวิทยาลัยว่าเป็นธุรกิจ เราทำเพื่อสังคม ซึ่งผมก็ย้ำว่า ความเป็น Creative University คือกึ๋นของเรา อาจารย์และเด็ก และสิ่งแวดล้อมของเราเป็นเช่นนี้จริงๆ ซึ่งพิสูจน์ได้

- ตัวคุณเพชรเองเคยคิดที่อยากจะไปสอนหนังสือบ้างหรือไม่

ตั้งใจ แต่ยังไม่มีเวลา อาจารย์ภาควิชาภาพยนตร์ชวนผมไปสอนเขียนบท เพราะผมเคยคลุกคลีกับวงการเขียนบทอยู่ อย่างดนตรีก็เหมือนกัน เดี๋ยวจะเอาวิชาเท่าที่มีไปสอน ผมเคยเขียนเรื่องสั้น 2 เรื่องนะ ได้รับการตีพิมพ์ด้วย แต่ไม่ได้ทำต่อเนื่องคนเลยไม่มองว่าเป็นนักเขียน เคยเล่นหนังระดับอินเตอร์เป็นหนังอินดี้ของประเทศฝรั่งเศสกับเบลเยี่ยมไปเมื่อปีที่แล้ว แต่ไม่ใครเอามาฉายสักที มีผมกับโจอี้บอยเล่น

เร็วๆ นี้ คงมีโอกาสไปสอน ผมอยากสอน เรื่องเขียนบทยิ่งชอบใหญ่ เพราะเป็นสิ่งที่บ้านเราขาดบุคลากรทางด้านนี้พอดี

พูดจริงๆ คือผมไม่ชอบทำธุรกิจ ผมชอบทำที่นี่เพราะที่นี่ไม่ใช่ธุรกิจ ตรงนี้สำคัญมาก ผมมีความสุขมาก ลงทุนตึกกี่ร้อยกี่พันล้านมันคือความสุขของเรา เวลาเห็นเด็กมีความสุข เวลาเห็นเด็กประสบความสำเร็จ ชื่นใจกว่าแต่งเพลงได้

- เรื่องงานเพลง งานภาพยนตร์มีโครงการจะทำอะไรออกมาบ้างไหม

คือผมก็แต่งเพลงเอาไว้ เป็นโรคชอบลองของ เสร็จแล้วด้วยนะ คือเราแต่งเพลงแบบไม่มีโจทย์ แต่งเพลงออกมาดันไม่เหมาะกับตัวเองร้อง เนื้อร้องมันเหมาะกับผู้หญิงร้อง แล้วก็ยังหานักร้องไม่ได้สักที ก็เลยยังดองเอาไว้

ผมอยากให้คนรุ่นใหม่ได้เรียนในสิ่งที่เขาชอบ ไม่ใช่ถูกบีบบังคับให้เรียน การที่เด็กเครียดกับการเข้ามหาวิทยาลัยของรัฐเป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะในหลายๆ ด้านมหาวิทยาลัยเอกชนก้าวหน้ากว่าอีก อย่างคณะนิเทศศาสตร์นี่ชัดเจน ไปเครียดที่จะไปเข้าตรงนั้นทำไม เพื่อค่านิยมเก่าๆ ของผู้ปกครองหรือ

- ต้องการให้ภาครัฐช่วยเหลือบ้างหรือไม่

ภาครัฐไม่ควรจะขวางกั้น ควรจะเปิดกว้างกว่านี้ในการที่จะให้เอกชนคิดหลักสูตรใหม่ๆ ที่ทันสมัย เพราะไม่จำเป็นที่ทุกมหาวิทยาลัยจะต้องเหมือนมหาวิทยาลัยของรัฐ

- คำถามสุดท้าย ส่วนตัวติดว่าค่าเล่าเรียน ม.กรุงเทพแพงไหม

ตรงนี้เป็นอีกประการหนึ่งที่ขอย้ำเลย ซึ่งผมก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่า ค่าเล่าเรียนของเราไม่ได้แพงกว่าที่อื่นนะ อย่างคณะนิเทศศาสตร์ Facility ของเรามากกว่าที่อื่นร้อยเท่า แต่ค่าเล่าเรียนของเราเท่าๆ กับเขา บอกแล้วว่าเราไม่ได้คิดในเชิงธุรกิจ แต่มันมีภาพพจน์ว่าแพงกว่า คงไปเทียบกับมหาวิทยาลัยของรัฐเมื่อสิบปีที่แล้วมั๊ง
กำลังโหลดความคิดเห็น