ชาวบ้านเขตสายไหม ยื่นหนังสือถึง “ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์” ให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงในการอนุญาตให้ห้างค้าปลีกต่างชาติมาเปิดในเขตสายไหม ชี้อาจเป็นการขัดต่อข้อบัญญัติ กทม.เหตุสร้างถนนกว้างน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนด แถมส่อระบายน้ำลงคลองสาธารณะ ด้านรองผู้ว่าฯ กทม.ขอรวบรวมเอกสารตรวจสอบข้อเท็จ
นายสมศักดิ์ ล้อเพชรรุ่งเรือง ประธานชมรมผู้ประกอบการค้าเขตสายไหม พร้อมตัวแทนชมรมและชาวบ้านเขตสายไหม ประมาณ 100 คน เดินทางมาที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เพื่อขอพบ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการ กทม.เพื่อนำเสนอข้อมูลให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงการดำเนินการของเจ้าหน้าที่เขตสายไหมเรื่องการอนุญาตให้ห้างต่างชาติเปิดกิจการในเขต มี นายประกอบ จิรกิตติ รองผู้ว่าฯ กทม.เป็นผู้รับหนังสือแทน และเชิญตัวแทนชมรมเข้าให้ข้อมูล
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ทางชมรมและชาวบ้านจะไม่ขัดข้องหากการดำเนินการเป็นไปตามข้อบัญญัติการก่อสร้างอาคารของ กทม.พ.ศ.2548 แต่เจ้าหน้าที่ดำเนินการมีประเด็นที่ขัดต่อขัดบัญญัติหลายประการ เช่น การตรวจสอบความกว้างถนนเขตสายไหม ตามข้อบัญญัติต้องมีความกว้างไม่ต่ำกว่า 20 เมตร ตลอดเส้นทางจนบรรจบถนนสาธารณะอื่น แต่จากที่ชมรมได้ตรวจวัดปรากฏว่าบางส่วนถนนมีขนาดเพียง 13.5-14 เมตรเท่านั้น
การกำหนดทิศทางระบายน้ำออกจากอาคาร ความปลอดภัยของมาตรฐานน้ำทิ้งที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 ทางชมรมได้ทำหนังสือถึงสำนักการโยธา กทม.เพื่อขอทราบทิศทางระบายน้ำแล้วแต่ยังไม่ได้รับหนังสือตอบกลับ เพียงแต่แจ้งว่า ทิศทางน้ำจะไหลลงสู่ท่อระบายน้ำ กทม.
นายสมศักดิ์ กล่าวต่อว่า จากการสังเกตพบว่าบริเวณก่อนถึงตัวห้างไม่กี่ร้อยเมตรมีคลองหม้อแตกไหลผ่านด้านหลังตัวห้าง ซึ่งหากน้ำทิ้งไหลลงสู่คลองหม้อแตก ประชาชนที่อาศัยริมคลองและใช้น้ำเพื่อการอุปโภค การเกษตรกรรม และเลี้ยงปลากระชัง จะได้รับผลกระทบอย่างหนัก รวมทั้งการออกใบอนุญาตยกระดับคันหินทางเท้าเพื่อทำทางเชื่อมต่อที่สาธารณะ ซึ่งข้อบัญญัติ กทม.กำหนดว่าต้องมีหนังสือเห็นชอบในหลักการจากผู้ว่าฯ กทม.เท่านั้น แต่ ผอ.เขตสายไหมกลับลงนามเพื่ออนุญาตเองเมื่อวันที่ 31 ต.ค.2551 ซึ่งเป็นช่วงที่ นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ได้ลาออกไปแล้ว ตั้งแต่วันที่ 28 ส.ค.2551
นายประกอบ จิรกิติ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวว่า ตนจะขอเวลารวบรวมเอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งหมดก่อนเพื่อมาดูให้ชัดเจนว่าถนนเส้นนี้มีความกว้างถึง 20 เมตรหรือไม่ และหากพบว่ามีการสร้างรุกล้ำทางเท้าก็จะให้รื้อถอน ระงับไม่ให้เปิดให้บริการ และดูว่าสามารถแก้ไขปรับปรุงได้หรือไม่ ทั้งนี้ หากได้รับเอกสารครบถ้วนแล้วก็จะลงพื้นที่เพื่อดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงทันที
นายสมศักดิ์ ล้อเพชรรุ่งเรือง ประธานชมรมผู้ประกอบการค้าเขตสายไหม พร้อมตัวแทนชมรมและชาวบ้านเขตสายไหม ประมาณ 100 คน เดินทางมาที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เพื่อขอพบ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการ กทม.เพื่อนำเสนอข้อมูลให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงการดำเนินการของเจ้าหน้าที่เขตสายไหมเรื่องการอนุญาตให้ห้างต่างชาติเปิดกิจการในเขต มี นายประกอบ จิรกิตติ รองผู้ว่าฯ กทม.เป็นผู้รับหนังสือแทน และเชิญตัวแทนชมรมเข้าให้ข้อมูล
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ทางชมรมและชาวบ้านจะไม่ขัดข้องหากการดำเนินการเป็นไปตามข้อบัญญัติการก่อสร้างอาคารของ กทม.พ.ศ.2548 แต่เจ้าหน้าที่ดำเนินการมีประเด็นที่ขัดต่อขัดบัญญัติหลายประการ เช่น การตรวจสอบความกว้างถนนเขตสายไหม ตามข้อบัญญัติต้องมีความกว้างไม่ต่ำกว่า 20 เมตร ตลอดเส้นทางจนบรรจบถนนสาธารณะอื่น แต่จากที่ชมรมได้ตรวจวัดปรากฏว่าบางส่วนถนนมีขนาดเพียง 13.5-14 เมตรเท่านั้น
การกำหนดทิศทางระบายน้ำออกจากอาคาร ความปลอดภัยของมาตรฐานน้ำทิ้งที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 ทางชมรมได้ทำหนังสือถึงสำนักการโยธา กทม.เพื่อขอทราบทิศทางระบายน้ำแล้วแต่ยังไม่ได้รับหนังสือตอบกลับ เพียงแต่แจ้งว่า ทิศทางน้ำจะไหลลงสู่ท่อระบายน้ำ กทม.
นายสมศักดิ์ กล่าวต่อว่า จากการสังเกตพบว่าบริเวณก่อนถึงตัวห้างไม่กี่ร้อยเมตรมีคลองหม้อแตกไหลผ่านด้านหลังตัวห้าง ซึ่งหากน้ำทิ้งไหลลงสู่คลองหม้อแตก ประชาชนที่อาศัยริมคลองและใช้น้ำเพื่อการอุปโภค การเกษตรกรรม และเลี้ยงปลากระชัง จะได้รับผลกระทบอย่างหนัก รวมทั้งการออกใบอนุญาตยกระดับคันหินทางเท้าเพื่อทำทางเชื่อมต่อที่สาธารณะ ซึ่งข้อบัญญัติ กทม.กำหนดว่าต้องมีหนังสือเห็นชอบในหลักการจากผู้ว่าฯ กทม.เท่านั้น แต่ ผอ.เขตสายไหมกลับลงนามเพื่ออนุญาตเองเมื่อวันที่ 31 ต.ค.2551 ซึ่งเป็นช่วงที่ นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ได้ลาออกไปแล้ว ตั้งแต่วันที่ 28 ส.ค.2551
นายประกอบ จิรกิติ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวว่า ตนจะขอเวลารวบรวมเอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งหมดก่อนเพื่อมาดูให้ชัดเจนว่าถนนเส้นนี้มีความกว้างถึง 20 เมตรหรือไม่ และหากพบว่ามีการสร้างรุกล้ำทางเท้าก็จะให้รื้อถอน ระงับไม่ให้เปิดให้บริการ และดูว่าสามารถแก้ไขปรับปรุงได้หรือไม่ ทั้งนี้ หากได้รับเอกสารครบถ้วนแล้วก็จะลงพื้นที่เพื่อดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงทันที
