มะเร็ง...เป็นโรคร้ายแรงที่แม้ว่านวัตกรรมการรักษาและการคิดค้นยาใหม่ๆ ในวงการแพทย์ของโลกจะก้าวไกลไปสักเพียงใด สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ ก็คือ ความทรมานอันเกิดจากการรักษา ซึ่งแต่ละปีประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตด้วยโรคนี้ไม่น้อย หากแต่ผู้หญิงหัวใจเกินร้อยที่สังคมรู้จักเธอในนาม “น้องหนู” เป็นอีกผู้หนึ่ง ที่ “ชนะ” มันได้
“รัตนากร วิทยานนท์” หรือ “น้องหนู” หญิงสาววัยทำงานตอนต้น ผู้มีไฟการทำงานคุกรุ่นอยู่ในตัวอย่างเต็มเปี่ยม และพร้อมจะทำงานสร้างอนาคตเพื่อตัวเอง ครอบครัว ตลอดจนเพื่อคนรัก ฟังดูไม่น่าจะต่างจากหญิงสาววัยเดียวกันที่มีความสดใสรุ่งโรจน์รอคอยอยู่เบื้องหน้า
ทว่า...หากชีวิตไร้อุปสรรค...มันก็คงไม่ใช่ชีวิต
*** นึกว่า “หวัดธรรมดา” สุดท้าย เหมือนสายฟ้าฟาด!
น้องหนูเริ่มเรื่องราวอันหนักหนาของชีวิตอย่างง่ายๆ ว่า เกิดขึ้นในเดือนมกราคม พ.ศ.2549 ที่เธอเริ่มรู้สึกเจ็บคอและแสบหลอดลม โดยเธอเองก็คิดเพียงแต่ว่าน่าจะเป็นแต่ไข้หวัดธรรมดา จึงไปพบหมอที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน
“ตอนแรกก็เหมือนจะดีขึ้น แต่กินยาได้ระยะหนึ่งก็รู้สึกว่าเป็นอีก สองสัปดาห์ถัดมาจึงกลับไปที่โรงพยาบาลอีกครั้ง คราวนี้ก็ได้เอกซเรย์คอมพิวเตอร์และพบว่ามีก้อนโตขนาด 9 เซนติเมตรที่ขั้วปอด จึงถูกส่งตัวไปตรวจชิ้นเนื้อที่อีกโรงพยาบาลหนึ่ง”
หลังผ่าตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ แพทย์ก็ระบุว่า น่าจะเป็นมะเร็ง ซึ่งระหว่างนั้นก็ต้องนอนรอในโรงพยาบาลอีกเพื่อรอผลการนำชิ้นเนื้อที่ตัดไปย้อมเพื่อตรวจสอบว่าเป็นมะเร็งชนิดใด
ภายหลังทราบผลแน่ชัดว่าป่วยเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง เธอก็ถูกส่งตัวไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลศิริราช เนื่องจากที่นั่นมีแผนกโลหิตวิทยาและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน
“ก็ต้องไปตรวจก่อนว่าป่วยอยู่ในระยะไหน วิธีการตรวจว่าระยะไหน ก็คือ ต้องเจาะไขกระดูกไปตรวจ ตอนคุณหมอบอกเราว่า มะเร็งต่อมน้ำเหลืองระยะสุดท้าย ตอนนั้นเศร้ามาก แม่ร้องไห้ พี่ชายเดินออกจากห้องไปเลย ตอนนั้นคิดอย่างเดียวว่า ทำไมต้องเป็น แต่คุณหมอซึ่งตอนหลังกลายมาเป็นแพทย์เจ้าของไข้ ก็คือ รศ.นพ.นพดล ศิริธนารัตนกุล ก็ให้กำลังใจว่า ที่คุณหมอมารักษาเรา เพราะต้องการให้เราหาย แต่ถ้าคนไข้ไม่ช่วยหมอเลย ไม่มีกำลังใจ อย่างนี้การรักษาก็ไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร และบอกอีกว่ามะเร็งต่อมน้ำเหลืองนั้น ตอบสนองต่อยาดีมาก ซึ่งนั่นทำให้เรามีกำลังใจดีขึ้น”
คนไข้สาวใจเด็ดรายนี้ กล่าวต่อไปว่า เมื่อรู้แน่ชัดว่าเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองระยะสุดท้ายนั้น ก็ได้มีการปรับทัศนคติรับมือกับโรค ที่แทบไม่น่าเชื่อว่าหญิงสาวผู้ร่าเริงคนนี้ มีเคล็ดลับแหวกแนวในการให้กำลังใจตัวเอง “มองโลกในแง่ร้ายค่ะ คิดเผื่อไว้ก่อน”
เธอกล่าวปนหัวเราะก่อนจะอธิบายต่อไปว่า เธอจะไม่พยายามบอกตัวเองว่าไม่เจ็บ ไม่ปวด ไม่ป่วย เดี๋ยวก็หาย หรือไม่นานก็จะดีขึ้น แต่เธอจะคิดในแง่ความเป็นไปได้ที่ลบที่สุดก่อน
“อย่างตอนเจาะไขกระดูก เราก็พยายามหาข้อมูล หาหนังสือมาอ่าน ซึ่งทุกคนให้ข้อมูลเหมือนกันหมดว่าเจ็บมาก ก็ทำใจไปเลย แต่จริงๆ แล้ว ไม่เจ็บเลยจริงๆ เพราะฉีดยาชา โดยฉีดครั้งแรกเป็นการฉีดเข้าผิวหนัง และฉีดอีกครั้งเพื่อฉีดเข้ากระดูก และพอเจาะเสร็จก็กลับได้เลย”
หลังจากทราบชนิดและระยะของโรคแน่ชัดแล้ว แพทย์ก็เริ่มต้นการรักษาด้วยวิธีการใช้ยาเคมีบำบัดหรือ “คีโม” โดยกำหนดการรักษารอบแรกเอาไว้ 8 ครั้ง และการรักษา 8 เข็มในรอบแรกนั้น เคล็ดการคิดในแง่ร้ายก็กลับมาช่วยเธออีกแล้ว เพราะก่อนหน้าจะทำคีโม เธอก็ไปหาข้อมูลมาอีกเช่นกัน และคาดว่าหลังรับคีโมก็จะต้องผมร่วง คลื่นไส้ อาเจียน กินอะไรไม่ได้ แต่ปรากฏว่าร่างกายเธอไม่ได้มีอาการเหล่านั้น
*** สูตร 2 ผลข้างเคียงสาหัส!
ติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะซ้ำ! ฉี่เป็นก้อนเลือด
เคมีบำบัดชุดแรก 8 เข็มผ่านไปได้ด้วยดี แพทย์เจ้าของไข้จึงต่อยาสูตร 2 ที่ถูกเรียกสั้นๆ ว่า “ICE” โดยกำหนดให้น้องหนูรับยาให้รอบนี้ 3 เข็ม แต่เจ้าตัวเล่าว่า แค่รับไปเพียง 2 เข็มก็ออกอาการเสียแล้ว
“ฉีดแค่เข็มที่สองก็เกิดภาวะบวมน้ำ ขาบวม เหนื่อยง่าย คุณหมอเห็นท่าไม่ดีเลยสั่งทำ EKG (Electrocardiogram-การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ) และเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ พบว่า น้ำท่วมปอด โปรตีนรั่ว หัวใจโต ลิ้นหัวใจรั่ว ซึ่งเป็นผลข้างเคียงจากการทำคีโมชุดแรก 8 เข็มด้วยตอนนั้นคุณหมอบอกว่าหัวใจทำงานได้แค่ 25%ถือเป็นภาวะหัวใจวาย และชีพจรเต้นเร็วมาก ตอนนั้นมันก็เศร้าเหมือนกัน ไหนจะเป็นมะเร็งไหนจะมีภาวะอื่นๆ อีก”
นอกจากนี้ เธอยังต้องต่อสู้กับภาวะเกล็ดเลือดต่ำ ภูมิคุ้มกันตก อันเป็นอาการปกติเมื่อเคมีบำบัดเข้าไปทำลายทั้งเซลล์มะเร็งร้ายและเซลล์ดีของร่างกาย ซึ่งจะส่งผลโดยตรงให้ร่างกายของเธออ่อนแอมาก
“คนไข้มะเร็งมักจะเสียชีวิตด้วยอาการติดเชื้อในกระแสเลือด นั่นเป็นเพราะคีโมจะทำให้ภูมิคุ้มกันเราตก ทำให้น้องหนูต้องวนเวียนเข้าโรงพยาบาลอยู่ตลอด”
อย่างที่น้องหนู บอกว่า ภาวะร่างกายของผู้ป่วยมะเร็งที่รับการรักษาด้วยวิธีการใช้เคมีบำบัดจะอ่อนแอและเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้มากนั้น ไม่ใช่คำพูดเกินจริงแม้แต่น้อย เพราะหลังจากนั้นไม่นาน เธอก็ต้องทุกข์ทรมานด้วยความเจ็บปวดจากภาวะติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะ
“เจ็บมาก ฉี่เป็นเลือด ปวดตลอด อยากฉี่ก็ฉี่ไม่ได้ ฉี่ออกมาก็เป็นก้อนเลือดขนาดต่างๆ ใหญ่ที่สุดประมาณ 8 มิลลิเมตร พอคุณหมอส่องกล้องก็พบว่าในกระเพาะปัสสาวะเราติดเชื้อรุนแรงจนกลายเป็นแผลพุพองไปหมด ซึ่งก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากนอนอยู่ในโรงพยาบาลและให้ร่างกายเยียวยาตัวเอง”
หลังจากดีขึ้นจากการติดเชื้อครั้งที่เธอบอกว่า “ทรมานสุดๆ” ในครั้งนั้น แพทย์ก็ได้จัดชุดเคมีบำบัดให้เธอใหม่ คราวนี้เป็นสูตร GDP โดยกำหนดให้ฉีด 5 ครั้ง
*** น้ำใจประชาชน-น้ำใจ “คนผู้จัดการ”
ยาสูตร GDP ที่แพทย์วางไว้เป็นชุดต่อไปสำหรับคนไข้มะเร็งรายนี้ หากโชคร้ายเธอจะโดนผลข้างเคียงถึงขั้นเลือดออกในสมอง แต่ด้วยวัยที่ยังน้อยและความแข็งแรงของร่างกาย ก็ได้แต่หวังว่าผลข้างเคียงจะไม่รุนแรงถึงขนาดนั้น
“คุณหมออยากให้เราได้ยาต้านด้วย ซึ่งยาต้านนั้นจะช่วยในการรักษาประมาณ 50/50 ยานั้นชื่อว่า Zedalin ถ้าใช้แล้วหายก็หาย แต่ถ้าไม่หายห้ามใช้อีก ใช้ได้ครั้งเดียวในชีวิต คอร์สละ 1.3 ล้าน ตอนนั้นเราไม่คิดว่าจะได้ใช้ เพราะมันแพงมาก แต่เพื่อนๆ ที่ออฟฟิศช่วยกันฟอร์เวิร์ดเมลเรื่องน้องหนูต่อๆ ไป แล้วก็ทำริสต์แบนด์สีขาวขายและได้ความช่วยเหลือจากพี่ๆ หนังสือพิมพ์เอเอสทีวีผู้จัดการ ช่วยทำข่าวแล้วเอาข่าวน้องหนูขึ้นในเว็บไซต์หน้าแรก”
จากการนำเรื่องราวของน้องหนูลงเป็นข่าวในเว็บไซต์ผู้จัดการเพียงวันเดียว ยอดผู้บริจาคช่วยเหลือเป็นค่ายาตัวนี้ ก็สูงเกือบ 400,000 บาท และจากนั้นก็มีผู้บริจาคเรื่อยๆ จนพอที่จะซื้อยาราคาหนึ่งล้านสามแสนบาทได้
น้องหนูเล่าต่ออีกว่า หลังจากได้รับ Zedalin ไม่นาน ภาวะเกล็ดเลือดต่ำจนติดเชื้อก็ทำพิษขึ้นอีกคำรบหนึ่ง คราวนี้ถึงคราวการอักเสบของลำไส้
“อาการติดเชื้อมันเยอะมากจนตอนแรกคุณหมอส่องกล้องแล้วยังนึกว่าก้อนมันไปโตที่ลำไส้อีกที่หนึ่ง แต่พอดูแล้วมันเป็นพังผืดเฉยๆ ตอนนั้นก็ให้ลำไส้รักษาตัวเอง โดนงดน้ำงดอาหาร 5 วัน”
และภายหลังการรักษาอย่างเข้มข้นของแพทย์ วันตรวจร่างกายเพื่อติดตามผลการรักษาก็มาถึง น้องหนู ถูกนำเข้าเครื่อง Pet Scan ซึ่งผลออกมาว่า ก้อนในขั้วปอดลดลงเหลือเพียง 2.2 เซ็น และไม่ Active แล้ว
“เรามีความสุขมากที่มันเล็กลง เพราะเราทำใจเอาไว้ที่ร้ายที่สุด คือก้อนอาจจะไม่เล็กลงเลย นี่ก็เล็กลงเยอะ ก็ถือว่าพอใจ แต่เพื่อนๆ พี่ๆ เขาเศร้านะ เค้าหวังจะให้มันหายไปเลย”
น้องหนู กล่าวถึงสภาพร่างกายภายหลังการตรวจ Pet Scan ครั้งล่าสุดว่า แพทย์ได้ลงความเห็นว่าร่างกายเธอดีขึ้นมากแล้ว และอยู่ในระหว่าง “โรคสงบ” ซึ่งต้องแบ่งการเฝ้าระวังการกลับมาของโรคเป็น 2 ระยะ คือภายใน 2 ปี และภายใน 5 ปี คือภายใน 2 ปี เธอจะต้องฉีดยาอีกทุก 2 เดือน และหากพ้น 2 ปีนี้ได้โอกาสจะกลับคืนมาของโรคจะน้อยลง และหากพ้น 5 ปีไปได้จะถือว่าหายขาด
*** คาด “พักผ่อนน้อย”-“กลัวอ้วน” สาเหตุทำป่วย
เรื่องราวการต่อสู้โรคร้ายของน้องหนูดูเหมือนจะจบลง ซึ่งก็หวังและเอาใจช่วยเต็มที่ให้หญิงสาวหัวใจเกินร้อยรายนี้หายขาดสนิทจริงๆ และเมื่อถามเธอต่อถึงปัจจัยทำให้ป่วย เธอเล่าว่าหลังจากรู้ว่าป่วยได้ระยะหนึ่งก็ได้ตั้งคำถามดังกล่าวในใจเหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร
“คุณหมออธิบายว่าร่างกายแต่ละคนเซ็นซิทิฟในการรับเชื้อโรคและสารเคมีต่างกัน สมัยเด็กๆ ที่บ้านทำกิจการโรงพิมพ์เล็กๆ บริเวณชั้นล่างของบ้าน และน้องหนูนอนชั้นบน ก็อาจจะเป็นส่วนหนึ่งเหมือนกัน นอกจากนี้วิถีการใช้ชีวิตประจำวันของเราเอง ที่ไม่พักผ่อน พักผ่อนน้อย ทำงานจนสว่างคาตาแล้วอาบน้ำแต่งตัวไปทำงานต่อเลย เพราะคิดว่าร่างกายเราไหว ปกตินอนน้อยมาก บางคืนไม่นอนเลย
ส่วนเรื่องกิน เป็นคนไม่กิน เพราะสมัยนั้นกลัวอ้วน กลัวไม่สวย เช้าก็จะกินนมเปรี้ยว เที่ยงกินอะไรนิดหน่อย เย็นๆ ก็ไม่กิน มันเลยกลายเป็นผอมแบบสุขภาพไม่ดี ขนาดตอนรู้ผลตรวจมะเร็งใหม่ๆ คุณหมอยังตกใจที่ตรวจเลือดแล้วพบว่าขาดสารอาหารมาก ขาดแทบทุกอย่าง ต้องให้วิตามินเสริมอยู่นานกว่าจะรักษา แล้วก็เป็นคนที่กินน้ำน้อยด้วย”
*** อยากแบ่งโอกาสให้คนอื่นบ้าง
“น้องหนู” ในวันนี้ ไม่ใช่ภาพหญิงสาวที่ใบหน้าซีดเขียวถูกโกนผมอันเนื่องมาจากเคมีบำบัด นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย และมีสายระโยงรยางค์โยงเต็มตัวอีกต่อไป หากเธอกลับคืนกลับมาเป็นหญิงสาวผู้ร่าเริงอีกครั้ง และด้วยความสำนึกรู้ว่า มีน้ำใจของประชาชนจำนวนมาก ที่ได้ช่วยชีวิตเธอเอาไว้ น้องหนูจึงอยากส่งต่อโอกาสดีๆ ที่เธอเคยได้รับ มายังกรณีครอบครัวเล็กๆ ที่มีลูกน้อย 2 คน ที่คงรอน้ำใจจากคนไทยทุกคน
“มีพี่ที่เคยทำงานที่ทำงานเดียวกับน้องหนู เขาแต่งงานมีลูก ปรากฏว่า ลูกสาวคนโตที่ชื่อ “น้องเค้ก” ตอนนี้อายุประมาณ 12 ปีเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองตั้งแต่กำเนิด ต้องกินยาไปตลอดชีวิต ก็เลยตัดสินใจมีลูกอีกคนหนึ่ง แต่ปรากฏว่า “น้องใบเตย” ลูกคนเล็ก กลับเป็นโรคน้ำท่วมในสมอง กะโหลกศีรษะปิดก่อนกำหนด และมีปัญหาที่ระบบทางเดินหายใจอีก พี่คนนี้ก็เลยต้องลาออกจากงาน ดูแลลูกและให้สามีทำงานคนเดียว
น้องหนูเคยได้ปาฏิหาริย์จากน้ำใจของพี่ๆ น้องๆ คนไทย วันนี้รอดมาได้ ก็อยากแบ่งโอกาสที่เคยได้ ให้คนที่เดือดร้อนบ้าง ก็อยากจะขอความกรุณา ขอน้ำใจช่วยเหลือครอบครัวพี่คนนี้ด้วยค่ะ” น้องหนูทิ้งท้าย
ทั้งนี้ หากผู้ใจบุญอยากจะช่วยเหลือครอบครัวดังกล่าว สามารถบริจาคได้ที่ บัญชีชื่อ “ทิวาพร บวรรังสีรัตน์” ธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาซอฟต์แวร์ปาร์ค บัญชีออมทรัพย์เลขที่ 329-1-15710-9 หรือ โทร.สอบถามได้ที่ 089-531-6056