สธ.ชวนคนไทยใช้ฤกษ์ “วันมาฆบูชา” ฝึกทำสมาธิทำจิตใจให้สงบ ต่อต้านโรค ชะลอแก่ก่อนวัย
นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา โฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ขณะนี้วิถีการดำเนินชีวิตคนไทยประสบกับความกดดันต่างๆ และวิตกกังวล ทั้งจากภาวะวิกฤตเศรษฐกิจโลก การเมือง หากประชาชนคนใดปรับตัวไม่ได้อาจเกิดปัญหาลูกโซ่ต่างๆ ตามมามากมายจนอาจกลายเป็นคนที่มีความเครียดสูง และเกิดโรคเรื้อรังทางกายตามมาอีกได้
นพ.สุพรรณกล่าวต่อว่า โรคที่ตามมากับความเครียด คือ โรคความดันโลหิตสูง เมื่อร่างกายมีความดันโลหิตสูงอยู่เป็นเวลานาน จะทำให้เกิดการเสื่อมสภาพของหลอดเลือดแดง โดยเฉพาะหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง หัวใจและไต อันจะทำให้หลอดเลือดสมองแตกหรือตีบตัน นอกจากนั้นยังทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้นจนหัวใจโต กล้ามเนื้อหัวใจหนา ทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวหรือหัวใจวายจนทำให้ถึงแก่ชีวิตได้
นพ.สุพรรณ กล่าวอีกว่า เนื่องในวันมาฆบูชา ซึ่งตรงกับวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2552นี้เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาอีกวันหนึ่ง คนไทยทุกคนนอกจากจะทำบุญตักบาตร ได้รับบุญอิ่มอกอิ่มใจแล้ว ในวันมาฆบูชานี้ยังสามารถใช้เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างสุขภาพดีด้วยวิธีง่ายๆ และสามารถทำได้ทุกวัน คือ การนั่งสมาธิ เพราะการนั่งสมาธิเป็นการดูแลสุขภาพอีกวิธีหนึ่ง ทำให้เกิดความสงบทางจิตใจ จากสิ่งตึงเครียด เกิดสติปัญญาในการแก้ไขปัญหา การทำสมาธิจะช่วยให้คลื่นสมองไม่ยุ่งเหยิง สมองสามารถหลั่งฮอร์โมนเอนดอร์ฟิน (Endorphins) ซึ่งเป็นสารแห่งความสุข จะช่วยให้สมองผ่อนคลาย ความคิดแจ่มใส ความจำดี อารมณ์เย็นและสบายใจขึ้น นอกจากนี้ยังทำให้ร่างกายสดชื่น ลดอัตราการเต้นของหัวใจ ลดความดันโลหิต ร่างกายมีภูมิต้านทานโรค ไม่เจ็บป่วยง่าย และยังช่วยขจัดเซลล์ที่ผิดปกติ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้เกิดโรคมะเร็ง รวมทั้งยังขจัดสารอนุมูลอิสระที่ทำให้แก่ก่อนวัยด้วย
นพ.สุพรรณ กล่าวว่า สธ.สนับสนุนให้คนไทยทุกคนทุกวัยหันมานั่งสมาธิโดยไม่จำเป็นที่จะต้องทำเฉพาะในวันมาฆบูชาเพียงวันเดียว การที่ทำแล้วเกิดผลดีต่อร่างกายของตนเอง ก็ควรทำเป็นประจำทุกวัน เริ่มจากวันละ 5 นาที วันต่อไป 10 นาที และ 15 นาที เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ
“เมื่อฝึกนั่งสมาธิบ่อยๆจิตใจก็สงบ สมองผ่อนคลายได้รับประโยชน์จากฮอร์โมนเอนดอร์ฟีนอย่างเต็มที่ นอกจากทำให้ร่างกายแข็งแรง สุขภาพจิตดี มีความสุขมากขึ้นแล้ว ผลพลอยได้ตามมาก็คือ ทำให้ความสัมพันธ์กับผู้อื่นดีขึ้นกว่าเดิม ครอบครัวอยู่กันด้วยความสงบสุขมากขึ้นด้วย”นพ.สุพรรณกล่าว