“กระทรวงหมอ” ผนึกกำลัง “ตราชู” จัดอบรม “นวดไทย” เพื่อสุขภาพในเรือนจำและทัณฑสถานของกรมราชทัณฑ์ เพื่อสนับสนุนให้ผู้ต้องขังที่มีความสนใจ หรือผู้ต้องขังที่ใกล้พ้นโทษ มีทักษะการนวดไทยอย่างมีแบบแผนและถูกต้องตามหลักวิชาการ เพื่อนำไปประกอบเป็นอาชีพสร้างรายได้ให้กับตนเองและครอบครัวหลังพ้นโทษ
วันนี้ (26 ธ.ค.) ที่ห้องประชุมเบญจกูล กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี นพ.ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการนวดไทยเพื่อสุขภาพในเรือนจำ และทัณฑสถานของกรมราชทัณฑ์ เพื่อสนับสนุนให้ผู้ต้องขังที่มีความสนใจ หรือผู้ต้องขังที่ใกล้พ้นโทษ มีทักษะการนวดไทยอย่างมีแบบแผน และถูกต้องตามหลักวิชาการ สามารถนำไปประกอบเป็นอาชีพสร้างรายได้ให้กับตนเองและครอบครัวหลังพ้นโทษได้
นพ.ปราชญ์ กล่าวว่า ตามบันทึกข้อตกลงดังกล่าว กระทรวงยุติธรรม จะเป็นผู้อำนวยความสะดวกและเตรียมการในด้านสถานที่ อุปกรณ์ เครื่องมือ รวมทั้งคัดเลือกผู้ต้องขังที่มีความสนใจ หรือผู้ต้องขังที่ใกล้พ้นโทษ เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเข้ารับการฝึกอบรม โดยจะมีการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมกัน เพื่อจัดทำแผนปฏิบัติการ ติดตามความคืบหน้าการดำเนินงาน รวมทั้งแลกเปลี่ยนข้อมูล ปัญหาอุปสรรคในการดำเนินงาน เพื่อนำไปปรับปรุงแก้ไขให้การฝึกอบรมความรู้ด้านการนวดไทยแก่ผู้ต้องขังแต่ละรุ่นมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะมีการรายงานผลการดำเนินงานให้ผู้บริหารทั้ง 2 กระทรวงทราบหลังเสร็จสิ้นการฝึกอบรมแต่ละรุ่นด้วย โดยมีระยะเวลาความร่วมมือ 2 ปี และสามารถขยายเวลาเป็นประจำทุก 2 ปี ภายใต้ความเห็นชอบร่วมกัน
ด้านนพ.นรา นาควัฒนานุกูล อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ จะเป็นผู้รับผิดชอบจัดทีมฝึกอบรมการนวดไทยให้แก่ผู้ต้องขัง สนับสนุนคู่มือและสื่อความรู้เรื่องการนวดไทยเพื่อสุขภาพ รวมทั้งช่วยสร้างศักยภาพทีมสุขภาพของเรือนจำในการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการนวดไทยเพื่อสุขภาพที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาได้นำร่องอบรมนวดไทยให้ผู้ต้องขังของเรือนจำพิเศษมีนบุรีไปแล้ว 1 รุ่น จำนวน 30 คน ซึ่งผู้ต้องขังที่ผ่านการฝึกอบรมนวดไทยนี้ นอกจากจะใช้เป็นความรู้ในการประกอบอาชีพหลังพ้นโทษแล้ว ยังสามารถใช้ความรู้ที่ได้ไปดูแลและส่งเสริมสุขภาพของตนเอง เพื่อนผู้ต้องขัง และครอบครัวได้ด้วย นับเป็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งของเครือข่ายสุขภาพของภาคประชาชนอีกทางหนึ่ง