“แก้วสรร” ชี้ โพลไม่ต่างอะไรกับหมอดู ไม่ถอดใจรั้งอันดับ 4 เชื่อ พลังเงียบตัดสินใจโค้งสุดท้าย โวฐานคะแนนเพียบ พร้อมเอาใจผู้สูงวัยตั้งสโมสรผู้สูงอายุ
เมื่อเวลา 11.15 น.วันที่ 26 ธ.ค. นายแก้วสรร อติโพธิ ผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) หมายเลข 12 กลุ่มกรุงเทพฯใหม่ ลงพื้นที่หาเสียงบริเวณตลาดนัดหลังกระทรวงการคลัง โดยกล่าวว่า ตลาดนัดทุกแห่งที่อยู่ใกล้เคียงกับสถานที่ราชการหรือออฟฟิศ เช่น อสมท การบินไทย และกระทรวงการคลัง ส่วนใหญ่มีปัญหาเนื่องจากที่เป็นที่เอกชนไม่มีการบริหารจัดการตลาดที่ดี หากตนได้เป็นผู้ว่าฯ กทม.จะถือเป็นหน้าที่ในการต้องดูแลความสะอาดและการสัญจรภายในตลาด โดยการดึงเจ้าของตลาดมาหารือ หาทางนำกำไรที่ได้มาลงทุนบริหารจัดการตลาดให้ดี หรือบางจุด กทม.จะเข้าไปดูและให้มีการตั้งสหกรณ์ขึ้นมาตามชุมชนเปิด เพื่อเป็นตลาดค้าขายในชุมชุน
นายแก้วสรร กล่าวถึงกรณีที่ผลสำรวจความคิดเห็นของศูนย์วิจัยเอแบคโพลล์ ระบุว่า ตนรั้งอันดับที่ 4 ว่า ตนไม่สนใจโพล ไม่รู้สึกย่อท้อ ไม่หมดความหวัง และกำลังใจ เพราะตามทฤษฎีการลงคะแนนของตน จะมีอยู่ 3 ระดับ คือ 1.รู้จัก 2.สนใจ 3.ตัดสินใจ ซึ่งในช่วงนี้อยู่ในช่วงระยะการสนใจ หรือไม่สนใจมากกว่า โพลที่ผ่านมา ตนเห็นว่า เป็นเพียงช่วงการรู้จักจากป้ายหาเสียงเท่านั้น แต่โพลยังไม่สะท้อนความสนใจออกมา ทั้งนี้ ตนจึงไม่ให้ความสำคัญกับโพลที่ออกมามากนัก เพราะไม่ต่างอะไรกับหมอดูตัวหนึ่งเท่านั้น ไม่รู้ว่าไปหยิบตามถนน หรือโทรศัพท์ ขณะที่ประชาชนก็ไม่ควรฟังโพลมาก คิดอย่างไรก็ควรเลือกตามนั้น และเชื่อว่าคนจะไปตัดสินใจว่าจะกากบาทเลือกใครในช่วงสุดท้ายมากกว่า
นายแก้วสรร กล่าวต่อว่า ส่วนการปราศรัยใหญ่ โดยส่วนตัวเห็นว่าน่าจะมีอะไรที่ฉลาดกว่านั้นเพราะการปราศรัยต้องมีหัวคะแนนและเกณฑ์คนในพื้นที่มานั่งฟังแบบนั้นเป็นเพียงการ Display หรือเวทีการแสดงอย่างหนึ่งซึ่งช่วงโค้งสุดท้ายก็ ก็มีการปรับแผนใหม่แต่ไม่ขอเปิดเผยในตอนนี้
“โพลจะมีก็มีไปเถอะ เพราะไม่รู้ว่าไปหยิบสำรวจตามถนน หรือโทรศัพท์ บอกได้เลยว่าผลที่ออกมาผมไม่รู้สึกย่อท้อ การลงสมัครเลือกตั้งอย่าไปกลัวว่าจะแพ้หรือชนะ หรือห่วงว่าคะแนนจะไหลมารวมกันเท่าไหร่ เพราะลงพื้นที่เมื่อไหร่กระแสก็ตอบรับดีโดยเฉพาะชาวบ้านชาวช่องไม่ใช่ 4-5% อย่างโพลแน่นอน ประชาชนอย่าไปฟังมากนัก เพราะโพลก็เหมือนหมอดูตัวหนึ่ง มันเป็นแค่โพลอย่าให้เป็นโผ คิดยังไงก็เลือกไปตามนั้นอย่าไปสนใจ ” นายแก้วสรร กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีนโยบายดูแลผู้สูงอายุอย่างไร นายแก้วสรร กล่าวว่า ตนมีนโยบายจะทำสโมสรผู้สูงอายุ เพื่อให้เป็นศูนย์รวมผู้สูงอายุให้ออกมาพบปะชุมนุมกัน ไม่จำเป็นต้องสร้างบ้านพักคนชราเหมือนบ้านบางแคให้เต็มเมือง ซึ่งหากผู้สูงอายุมารวมกันที่สโมสรสามารถทำกิจกรรมต่างๆ ได้ เช่น ทำขนมเป็นต้น ส่วนผู้ปกครองที่ไม่มีเวลาดูแลลูกก็สามารถไปฝากไว้ที่สโมสรให้ผู้สูงอายุดูแลเป็นเนอสเซอรี่ได้อีกด้วย ทั้งนี้ เห็นว่า สโมสรดังกล่าวควรจะตั้งอยู่ในวัดดีที่สุดให้คนแก่และเด็กได้อยู่ใกล้วัด ส่วนผู้สูงอายุคนไหนที่มีความเชี่ยวชาญด้านต่างๆ อาทิ ภาษาอังกฤษให้ขึ้นทะเบียนไว้ที่กทม.เพื่อเป็นครูอาสาสอนภาษาอังกฤษให้กับเด็กๆ ได้ด้วย
ส่วนนโยบายสำหรับคนพิการ จะต้องหาวิธีจัดการกับผู้ที่รังแก และหาผลประโยชน์กับคนพิการเป็นอันดับแรก เพื่อไม่ให้คนพิการถูกรังแก หรือถูกใช้เป็นสินค้าเพื่อหาประโยชน์บนทางเท้าหรือสะพานลอย
ผู้สื่อข่าวถามถึงปัญหาชาวบ้านร้องเรียนเรื่องมลพิษทางเสียงที่เกิดขึ้นกับผู้ที่อยู่อาศัยบริเวณโดยรอบท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นายแก้วสรร กล่าวว่า โดยหลักแล้วต้องดูว่าใครที่ปล่อยมลพิษ ต้องเป็นคนแก้ ดังนั้นการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย จะต้องไปทำความเข้าใจกับชาวบ้าน แต่หากจะให้ผู้ว่าฯ กทม.เข้าไปแก้ไขปัญหาดังกล่าว ตนเห็นว่า ผู้ว่าฯ กทม.ไม่มีอำนาจหน้าที่ เพราะไม่มีกฎหมายฉบับใดมารองรับ แต่หากประชาชนมีปัญหา และอยากให้กทม.เข้าไปแก้ ตนก็พร้อมเป็นตัวเชื่อมในการตั้งโต๊ะเจรจา