xs
xsm
sm
md
lg

ปวดเมนส์เรื้อรัง สัญญาณอันตราย! “เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

“โอ๊ย ปวดท้องเมนส์จัง” เชื่อว่า ผู้หญิงแทบทุกคนต้องเคยทรมานด้วยอาการดังกล่าว มากบ้าง น้อยบ้าง แล้วแต่บุคคล แต่ที่หลายคนไม่รู้ก็คือ อาการปวดประจำเดือนที่มากผิดปกติและปวดเรื้อรังนั้น สามารถก่อให้เกิดอันตรายถึงขนาดถึงชีวิตได้เลยทีเดียว หากอาการดังกล่าวถูกละเลย และรักษาเพียงแค่กินยาตามอาการโดยไม่ใส่ใจจะไปตรวจหาสาเหตุที่แท้จริง

ผู้หญิงทุกคนเมื่อยามย่างสู่วัยสาว สัญญาณหนึ่งที่บ่งบอกและต้องมีกันทุกคนคือ “การมีประจำเดือน” ซึ่งแสดงถึงความพร้อมสมบูรณ์ของร่างกาย ส่วนเลือดประจำเดือน ก็คือ เลือดที่เกิดจากการหลุดลอกของเยื่อบุโพรงมดลูก ถูกควบคุมการสร้าง และหลุดลอกโดยฮอร์โมนสองชนิดคือ Estrogen และ Progesterone ซึ่งในระหว่างการมีประจำเดือนนั้นเอง ร่างกายจะหลั่งสาร prostaglandin ออกมา ทำให้มีการหดรัดตัวของกล้ามเนื้อมดลูก เพื่อบีบให้มดลูกบีบเลือดประจำเดือนออกมา ทำให้เกิดอาการปวดท้องและในบางกรณีอาจเกิดอาการปวดเมื่อยหลังร่วมด้วย ซึ่งถือว่าเป็นอาการปกติ

“อาการปวดท้องเมนส์ธรรมดา ปวดในระยะที่มาวันแรกๆ คือ วันที่ 1 หรือ 2 แล้วหายไป เป็นเรื่องปกติ อาจจะมีการใช้ยาพาราเซตามอลหรือพอนสแตนร่วมด้วยก็ถือว่าเป็นอาการปกติ แต่ถ้าหากมีการปวดท้องเมนส์ที่มากผิดปกติ คือวันที่4 ที่ 5 แล้วก็ยังปวด ปวดมากแบบต้องกินยาตลอด ต้องลางาน ไปทำงานไม่ได้ และอาการปวดประจำเดือนเป็นอาการเรื้อรังที่ปวดมากขึ้นทุกเดือนๆ มากกว่า 6 เดือน นั่นเป็นสัญญาณอันตราย ผู้ที่มีอาการเช่นนี้ควรมาพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุของการปวดนั้น” รศ.นพ.สุวิทย์ บุณยะชีวิน แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากภาควิชาสูติ-นรีเวช โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ให้ความรู้เกี่ยวกับอาการปวดประจำเดือนอย่างละเอียด ในงานเสวนา “ผู้หญิงปวดท้องประจำเดือน...ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ” ซึ่งจัดโดยองค์กรเครือข่ายเพื่อการช่วยเหลือพิทักษ์สตรีและส่วนเสริมความรู้ความเข้าใจในการดูแลสุขภาพตนเองอย่าง “มูลนิธิเพื่อนหญิง”

รศ.นพ.สุวิทย์ให้ข้อมูลด้านสถิติตัวเลขต่อไปอีกว่า มีผลการวิจัยระบุว่า 59% ของผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ทั้งหมดมีอาการปวดประจำเดือน และ 10% ของผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ทั้งหมดมีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis) ไม่ว่าเธอเหล่านั้นจะปวดหรือไม่ปวดประจำเดือนมากผิดปกติก็ตามที

ทั้งนี้ จากการศึกษาตัวอย่างทั้งหมด 1,100 คน ที่เป็นสตรีซึ่งมีอายุอยู่ในช่วง 25-44 ปี จาก 4 ภาค 5 แห่ง (รวมกรุงเทพฯ) พบว่า ผู้ที่มีอาการปวดท้องประจำเดือนแบบรุนแรงจนต้องหยุดงานทุกเดือน และปวดเรื้อรังมากกว่า 6 เดือนราวๆ 60% เมื่อรับการตรวจจะพบว่าป่วยด้วยโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่

“โรคนี้จะเกิดจากการที่ เมื่อเวลาผู้หญิงมีประจำเดือน มดลูกก็จะบีบตัวเพื่อไล่เลือดประจำเดือนออกมา เปรียบให้เห็นภาพง่ายๆ ก็คือ ตอนเราบีบลูกยาง ระหว่างนั้นผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้ก็จะมีเลือดไหลย้อนกลับเข้าไปมดลูก พอเลือดประจำเดือนย้อนกลับเข้าไป มันจะไหลไปตามปีกมดลูกและเข้าไปในรังไข่ ซึ่งเล็กมาก พอเข้าไปก็จะไม่ไหลออกมา และเมื่อเลือดที่ย้อนกลับไปเหล่านี้สะสมมากๆ เข้า เกาะตัวกันหนาๆ และร่างกายผลิตฮอร์โมนช่วงมีประจำเดือนออกมา มันก็จะอักเสบในช่วงมีประจำเดือน เป็นที่มาของอาการปวดท้องรุนแรงซึ่งหากผู้ป่วยไม่สนใจจะพบแพทย์หรือคิดว่าเป็นอาการปกติของการมีประจำเดือน แล้วละเลยไม่ไปหาสาเหตุการปวดที่แท้จริง อาจส่งผลให้เป็นช็อกโกแลตซีสซึ่งหากปล่อยให้มีการแตกในท้องอาจทำให้ถึงขั้นเสียชีวิตได้”

สูติ-นรีแพทย์ จุฬาฯ รายนี้ให้ความรู้ต่อไปอีกว่า ผู้ที่มีความเสี่ยงจะป่วยเป็นโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่นี้ จำแนกเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ก็คือ ผู้หญิงที่อายุมากจะมีความเสี่ยงมากกว่าผู้หญิงที่มีอายุน้อย เพราะผู้หญิงที่มีอายุมาก ย่อมมีเวลาของการสะสมเยื่อบุโพรงมดลูกที่ไหลย้อนเข้าไปได้นานกว่าผู้หญิงที่อายุน้อย, ผู้หญิงที่มีประจำเดือนออกมากจะมีความเสี่ยงป่วยเป็นโรคดังกล่าวมากกว่าผู้ที่มีประจำเดือนไหลออกมาน้อย เนื่องจากหากมีประจำเดือนไหลออกมามาก ก็ย่อมจะมีโอกาสไหลย้อนกลับเข้าไปมากเช่นเดียวกัน และผู้หญิงที่มีบุตรแล้วจะมีความเสี่ยงน้อยกว่าที่ยังไม่มี เนื่องจากในระยะเวลาของการตั้งครรภ์ 9 เดือน ร่างกายจะไม่มีประจำเดือนและในระหว่างการตั้งครรภ์ ฮอร์โมนที่เกิดขึ้นในช่วงดังกล่าวจะทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกที่ไปเจริญผิดที่นั้น ฝ่อลงไปเอง
นพ.สุวิทย์ บุณยะชีวิน ขณะกำลังโชว์ “แหวนห่วงใย” แทนสัญลักษณ์ความเจ็บป่วยของโรค Endometriosis เพื่อรณรงค์ให้ผู้หญิงดูแลสุขภาพตัวเองและหมั่นตรวจเช็คร่างกาย
ถึงตรงนี้คุณผู้หญิงหลายคนอ่านแล้วอาจจะเกิดอาการกังวล อยากจะไปตรวจ แต่ก็ตะขิดตะขวงใจด้วยเพราะเป็นสาวโสด หรือกระทั่งผู้หญิงแต่งงานแล้วแต่ก็อายเกินกว่าจะไปนอนให้คุณหมอตรวจภายในได้นั้น รศ.นพ.สุวิทย์ แนะนำว่า หากไม่มาตรวจเพราะกลัวว่าจะโดนตรวจภายในนั้น ไม่ต้องกังวล เนื่องจากเทคโนโลยีการตรวจในปัจจุบันมีการใช้การอัลตร้าซาวด์เข้ามาช่วยตรวจการมีช็อกโกแลตซีสในมดลูกแล้ว

“ขอให้มาตรวจเถิดครับ ถ้าเจอจะได้แก้ไขกันได้ทัน ที่ผ่านมาคุณผู้หญิงส่วนใหญ่ไม่กล้ามาตรวจเพราะกลัวตรวจภายใน เดี๋ยวนี้เรามีอัลตราซาวนด์ คุณผู้หญิงที่ยังโสดเราจะไม่ตรวจภายใน แต่จะใช้วิธีตรวจอัลตราซาวนด์แทน หรือถ้าคุณผู้หญิงที่แต่งงานแล้วที่อายและไม่อยากตรวจภายใน เราก็จะอัลตราซาวนด์ให้ แต่จริงๆ หากแต่งงานแล้วทางที่ดี ควรจะตรวจภายในทุกปีครับ เพราะนอกจากตรวจโรคนี้แล้ว การตรวจภายในยังสามารถตรวจเช็กมะเร็งปากมดลูกได้ ซึ่งมะเร็งปากมดลูกนี้ตรวจโดยอัลตราซาวนด์ไม่ได้ครับ เพราะผู้หญิงที่แต่งงานแล้วจะมีความเสี่ยงในเรื่องมะเร็งปากมดลูกด้วย เป็นความเสี่ยงที่ไม่มีในผู้หญิงที่ยังไม่ได้แต่งงาน”

“ส่วนผู้หญิงที่ยังไม่ได้แต่งงานนั้น แม้จะไม่ต้องตรวจภายในและไม่มีความเสี่ยงในเรื่องของมะเร็งปากมดลูก แต่ก็ควรจะตรวจเช็คด้วยการอัลตราซาวนด์ทุกปีครับ ซึ่งปกติการอัลตราซาวนด์ในโรงพยาบาลของรัฐจะใช้ระบบประกันสังคมได้ ในกรณีที่มีอาการส่อว่าจะป่วย แต่หากเป็นการตรวจสุขภาพประจำปีประกันสังคมจะไม่ Cover ค่าใช้จ่ายการตรวจเช็กด้วยอัลตราซาวนด์ในโรงพยาบาลของรัฐอยู่ที่ประมาณครั้งละ 400-500 บาท ครับ” รศ.นพ.สุวิทย์ ทิ้งท้าย
กำลังโหลดความคิดเห็น