ทางออกจากวิกฤต
ประเวศ วะสี
1.
สาเหตุของการออกจากวิกฤตไม่ได้
วิกฤตการณ์ต่างๆ ในโลกที่หาทางออกไม่ได้ เกิดจากความขัดแย้งระหว่างสภาพความจริงใหม่กับวิธีคิดเก่า สภาพความจริงใหม่ คือ สังคมปัจจุบันเป็นระบบซึ่งซับซ้อนสุดประมาณไม่เหมือนสังคมโบราณ ระบบที่ซับซ้อนนี้จะผลิตวิกฤตการณ์ด้านต่างๆ ออกมาตลอดเวลา ซึ่งเข้าใจได้ยาก แก้ไขได้ยาก หรือแก้ไขไม่ได้ เช่น วิกฤตเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม การเมือง ทั้งหมดเชื่อมโยงกันเป็นวิกฤตการณ์คลื่นลูกที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ที่ผมพูดถึงมา 10 กว่าปีแล้ว หรือรวมเรียกว่า มหาวิกฤตการณ์สยาม เป็นวิกฤตที่ไม่มีรัฐบาลใด หรือใครแก้ได้
วิธีคิดเก่า คือวิธีคิดแบบตายตัว แยกส่วน ง่าย และเป็นเส้นตรง
ปัญหาของมนุษย์อยู่ที่วิธีคิดแบบนี้ที่นำมนุษย์เข้าไปสู่ความขัดแย้ง รุนแรง วิกฤตจนจะอยู่รอดไม่ได้ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ จึงกล่าวว่า “เราต้องการวิธีคิดใหม่โดยสิ้นเชิง ถ้ามนุษยชาติจะอยู่รอดได้” วิทยาศาสตร์เก่าที่มีมา 500 ปี ก็ส่งเสริมวิธีเก่าแบบตายตัวแยกส่วน พระพุทธองค์ทรงค้นพบวิธีคิดใหม่ที่มองสรรพสิ่งทุกอย่างล้วนเชื่อมโยงสัมพันธ์กันอย่างเคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา (อนิจจัง) วิทยาศาสตร์ใหม่ที่ค้นพบมาประมาณ 100 ปี แต่ก็ยังไม่เป็นที่แพร่หลายเห็นว่า สรรพสิ่งล้วนเชื่อมโยงสัมพันธ์กันอย่างเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ตรงกับที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบมาเมื่อกว่า 2500 ปีมาแล้ว
ถ้าเอาทัศนะและวิธีคิดแบบพุทธ หรือวิทยาศาสตร์ใหม่เข้าไปมองสภาพความเป็นจริงก็จะเข้าใจความซับซ้อน ความเชื่อมโยง ความเป็นพลวัตร ความโกลาหล (Chaos) ความไม่มีทางออกด้วยทัศนะ และวิธีคิดแบบเดิม ทัศนะและวิธีคิดแบบเดิม ทำให้ทะเลาะกันมากขึ้น ขัดแย้งกันมากขึ้น และรุนแรงมากขึ้นเป็นลำดับ เพราะขัดแย้งกับสภาพความเป็นจริง ที่เชื่อมโยงถึงกันทั้งหมดทั้งสิ้น อย่างซับซ้อนและอย่างเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง
2
การเห็นทั้งหมดตามความเป็นจริง
ระบอบทักษิณมีอยู่จริง ขบวนการพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) มีอยู่จริง
แต่ไม่ใช่เท่านั้น ทั้งหมดมีความหลากหลายมากกว่านั้นมาก ภายในที่เรียกรวมว่า ระบอบทักษิณก็มีความหลากหลายมาก ภายใน พธม.ก็มีความหลากหลายมาก ที่รวมกันเพราะความรู้สึกร่วมคือ ต่อต้านระบอบทักษิณ แต่ในสังคมยังมีอื่นๆ ที่ทั้งไม่ใช่ระบอบทักษิณ และไม่ใช่ พธม. อีกมากมายซับซ้อน การมีพวกนิยมกษัตริย์บ้าง ไม่นิยมกษัตริย์บ้างนี้ ก็เป็นธรรมดาของความหลากหลาย เราไปปฏิเสธความหลากหลายไม่ได้ เพราะเป็นธรรมชาติที่มีอยู่จริง ตัวอย่างของระบบที่ดีที่สุดคือ ระบบร่างกายของเราซึ่งมีความหลากหลายสุดประมาณ เซลล์สมอง เซลล์หัวใจ ตับ ไต หัวแม่เท้า ฯลฯ ไม่เหมือนกันเลย หัวใจ ตับ ไต ต่างมีอัตลักษณ์ของตัว หัวใจกับตับ จะไปเหมือนกันไม่ได้ แต่อวัยวะจะมีอัตโนมติ (Autonomy) หัวใจจะไปรอให้ใครสั่งให้เต้นไม่ได้ ปอดจะไปรอให้ใครสั่งให้หายใจไม่ได้ มันจะตายเสียก่อน เราจึงเห็นทั้งความหลากหลายและความเป็นอิสระ แต่ทั้งหมดเชื่อมโยงกันอย่างเป็นเอกภาพโดยมีจิต หรือจิตจำนงเดียวกัน ถ้าสมองไปทาง หัวใจไปทาง ตับไปทาง เราก็เป็นคนอยู่อย่างนี้ไม่ได้
ฉะนั้น โจทย์ของเราไม่ใช่ไปปฏิเสธความหลากหลายที่มีอยู่จริง ไม่ใช่ไปปฏิเสธอิสรภาพ หรืออัตโนมติของแต่ละอวัยวะของสังคม แต่โจทย์ของเราอยู่ที่ทำอย่างไรที่องคาพยพของประเทศไทยอันหลากหลาย และมีอัตโนมตินั้น จะมีความเป็นเอกภาพ คือ มีจิตร่วม
เอกภาพไม่ได้อยู่ที่การคิดมนุษย์แต่ละคนคิดต่างกัน จะไปบังคับให้คิดเหมือนกันไม่ได้ นั่นเป็นเผด็จการ คิดต่างกัน จิตจำนงร่วมเป็นคนละเรื่อง จิตจำนงร่วมเกิดขึ้นได้ และที่จริงทุกคนทมีอยู่ในส่วนลึกของหัวใจ แต่เราไปไม่ถึงเพราะมัวไปทะเลาะกันในส่วนที่ตื้นกว่า ถ้าเราสามารถสร้างจิตจำนงร่วมท่ามกลางความหลากหลายและอัตโนมติ เราจะเกิดพลังสร้างสรรค์มหาศาล เพราะฉะนั้น การทะเลากันแบบแยกส่วนจะยังทะเลาะกันไปก่อนก็สุดแล้ว แต่เหตุปัจจัยและความเป็นไปได้ แต่ทุกฝ่ายควรระลึกรู้ว่าทางออกจากวิกฤตที่แท้จริงนั้นคือ การเห็นทั้งหมด คิดอย่างเชื่อมโยงสัมพันธ์ที่มีพลวัตร คือปรับเปลี่ยนได้ตามเหตุปัจจัย ไม่ตายตัวแยกส่วน และสร้างจิตจำนงร่วมของประเทศ
3.
ต้องเอาใจเป็นตัวตั้ง
เราคุ้นเคยกับการที่ว่าทำอะไรๆ ต้องเอาความรู้นำ ความรู้แยกเป็นส่วนๆ และปรากฎอยู่ใต้อำนาจของกิเลสได้ง่าย จึงไม่มีพลังพอที่จะพาออกจากสภาพวิกฤต ถ้าใช้ใจนำความรู้ตามจะพบทางออก การใช้ใจนำทำให้เปลี่ยนมุมมอง มุมมองเก่าทำให้ติด มุมมองใหม่ทำให้หลุด
มุมมองเก่าคือ ต่างฝ่ายต่างมองฝ่ายตรงข้ามเป็นศัตรู ความจริงก็คือ คนทั้งหมดไม่ว่าจะคิดอย่างไร หรือผิดถูกดีเลวอย่างไร ล้วนเป็นเพื่อนมนุษย์กับเรา ถ้าเรามีความรักความเมตตาต่อคนทั้งหมด โดยไม่ตั้งเงื่อนไขแบบที่พ่อแม่รักลูก และลูกรักพ่อแม่ จิตจะหลุดจากความบีบคั้นทันที ทดลองดูเดี๋ยวนี้ก็ได้ รักและเมตตาคนทั้งหมดโดยไม่ตั้งเงื่อนไขจะพบว่า จิตหลุดพ้นจากความบีบคั้นทันที มีความสุขและมองเห็นทางออก
การเยียวยาเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะจะเปิดพื้นที่ในหัวใจให้ทำสิ่งดีๆ ได้สุดๆ อย่างเหลือเชื่อ การเยียวยาต้องไม่เลือกข้าง เลือกขั้ว ไม่ตั้งคำถามหาผิดหาถูก เอาแต่ใจ...ของความเป็นมนุษย์มาสัมผัสกัน ตามหลักการผู้ตกเป็นเหยื่อ ไม่ได้มีเฉพาะผู้ถูกกระทำเท่านั้น ผู้กระทำก็ถือเป็นผู้ตกเป็นเหยื่อด้วย เหยื่อของความบีบคั้นอะไรที่ทำให้ทำ และความบีบคั้นอย่างสาหัสภายหลังกระทำ ฉะนั้นต้องไม่ลืมว่าผู้กระทำก็ต้องการการเยียวยาด้วย ยามที่ฝ่ายถูกกระทำ กำลังมีความแค้นพุ่งสูงยากที่จะยอมรับว่า ผู้กระทำก็ต้องการการเยียวยาด้วย แต่ก็อยากจะฝากไว้ ซึ่งถ้าทำได้คนทั้งหมดจะร้องไห้กันระงม เพราะความสูงส่งของความเป็นมนุษย์เข้าจับมโนวิญญาณ ความสมานฉันน์หลังจากนั้นเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ
4.
ทางออกเฉพาะหน้า
โดยทางสันติ หรือโดยทางนองเลือด
ทางออกเฉพาะหน้าอาจสรุปเหลือสองเส้นทาง คือเส้นทางสันติวิธี กับเส้นทางนองเลือด
ก.เส้นทางสันติวิธี
(1) ด่วนที่สุด หากเหตุการณ์รุนแรง เมื่อ 7 ตุลาคม เป็นเรื่องของคุณสั่งมา เพื่อล้มกระด้านการตัดสินคดีของอดีตนายกรัฐมนตรีที่อยู่ลอนดอนในวันที่ 21 ตุลาคม ก็จะมีการสร้างสถานการณ์รุนแรงอีกจากวันนี้ไปถึงวันที่ 21 ตุลาคม ต้องประชาสัมพันธ์ให้ทราบทั่วกัน และช่วยกันระวังระไว อย่างเต็มที่ป้องกันไม่ให้มีสถานการณ์รุนแรง กทม.และกรมป้องกันสาธารณภัยต้องระดมอาสาสมัครรักษาพระนครอย่างเต็มที่ จะวางใจตำรวจแต่เพียงฝ่ายเดียวเห็นจะยังไม่ได้
(2) หากฝ่ายการเมืองและตำรวจที่รับผิดชอบสามารถเอ่ยคำว่า “ผมเสียใจ ผมขอโทษ ผมขอแสดงความรับผิดชอบดังต่อไปนี้ .....” จะลดดีกรีความร้อนแรงของความแค้นลงอย่างทันทีทันใด
(3) ดำเนินกระบวนการยุติธรรมอย่างรวดเร็วทันใจจะช่วยถอดชนวนความรุนแรงลง เพราะความยุติธรรมเป็นเรื่องสำคัญที่สุดของมนุษย์ มนุษย์ยอมตายเพื่อความยุติธรรมได้
ความยุติธรรมที่ยุติธรรมจะช่วยให้มีทางออกด้วยสันติ ความยุติธรรรมที่ไม่ยุติธรรม หรือความยุติธรรมปลอมจะไม่ได้รับความเชื่อถือ ผบ.ตร.จะเป็นผู้แต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงให้มีคนเชื่อถือได้อย่างไร ในเมื่อตำรวจเป็นคู่กรณี ความเกเรกับความยุติธรรม เป็นเหตุให้วิกฤตและออกจากวิกฤตไม่ได้ของสังคมเรื่อยมา ในอนาคตต้องช่วยกันทำให้ระบบยุติธรรมแข็งแรง ซึ่งรวมถึงการปฎิรูปโครงสร้างของระบบตำรวจด้วย มิฉะนั้นตำรวจจะตกเป็นเหยื่อของการตกเป็นผู้ทำไม่ถูกต้องตลอดกาล สังคมไทยต้องรักตำรวจไทย เหมือนสังคมอังกฤษต้องรักตำรวจอังกฤษ
(4) ถ้ารัฐบาลและรัฐสภาหมดความสามารถในการแก้วิกฤต ควรขอเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและกราบบังคมทูลให้ทรงทราบ เพื่อเปิดช่องว่างให้ทรงเข้ามาช่วยแก้ปัญหาได้
(5) ถ้ายังทำอะไรๆ ก็ไม่ได้ ก็ทะเลาะกัน กดดันกันต่อไป แต่อย่าใช้ความรุนแรง รัฐควรเปิดโอกาสให้ใช้การสื่อสารของรัฐอย่างเท่าเทียมกันให้แต่ละฝ่ายพิสูจน์ตัวเองต่อสาธารณะว่าใช้ความจริง ใช้เหตุผล ใช้สัมมาวาจา เมื่อสาธารณะเข้ามากำกับ ความแตกต่างสร้างสรรค์มากขึ้นเรื่อยๆ ความแตกต่างอย่างสร้างสรรค์ต่างหากที่จะพาเราออกจากความติดขัดที่ยาก การปะทะของขั้วตรงข้าม ทำนองเดียวกับฟ้าผ่าจะมีการทำลายสูงและอาจก้าวไปข้างหน้าไม่ได้อีกนาน
(6) การเจรจาหาข้อยุติร่วมกันเป็นเรื่องสำคัญ ความขัดแย้งทุกชนิดยุติด้วยการเจรจา ขัดแย้งรุนแรงเท่าใดๆ ก็สามารถยุติได้ด้วยการเจรจาหาข้อยุติร่วมกัน
รัฐไม่พึงเข้ามาแก้ปัญหาด้วยการใช้ความรุนแรง เพราะจะเพิ่มจำนวนผู้ต่อต้านมากขึ้น ทำนอง “ตายสิบเกิดแสน” แต่ต้องเป็นผู้นำในการแก้ปัญหาดัวยสันติวิธี บุคคลและองค์กรต่างๆ ควรเข้ามาส่งเสริมการเจรจาหาข้อยุติร่วมกัน
ข.เส้นทางรุนแรงนองเลือด
ถ้าหากสันติวิถีดังกล่าวข้างบนไม่มีใครปฏิบัติหรือไม่ได้ผล แล้วหลุดเข้าไปสู่การปะทะนองเลือด กองทัพไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องเข้ามาระงับยับยั้งความรุนแรง และยึดอำนาจรัฐอย่างสั้นที่สุดเพื่อสลายขั้ว แล้วนำความขึ้นกราบบังคมทูลว่าบัดนี้ระบบการเมืองสุดความสามารถในการแก้วิกฤตแล้ว เกิดสูญญากาศทางอำนาจแล้ว ขอพึ่งพระบารมี ขอพระราชทานนายกรัฐมนตรีที่เป็นคนกลางมีศักยภาพสูงในการยุติวิกฤตการณ์ และประสานให้ทุกฝ่ายในสังคมมาร่วมสร้างระบบอารยะประชาธิปไตย ที่ทุกฝ่ายยอมรับ และร่วมมือกันสร้างสรรค์สังคมไทยที่มีความเป็นธรรม เมื่อมีความเป็นธรรม ความขัดแย้งลดลง ความร่วมมือก็จะมากขึ้น ทำให้เห็นความแตกต่างอย่างสร้างสรรค์เป็นไปได้
ความแตกต่างอย่างสร้างสรรค์จะทำให้เกิดสิ่งดีใหม่ที่ดี
สิ่งใหม่ที่ดีเป็นอย่างไรพยากรณ์ไม่ได้ เพราะเป็นสังคมที่มีคุณสมบัติใหม่โดยสิ้นเชิง ไม่เหมือนสังคมเก่าๆ อย่างที่เรารู้จักกัน