แถลงการณ์ เรียกร้องให้รัฐไทยยุติการใช้ความรุนแรงตอบโต้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
เช้าตรู่ของวันอังคารที่ 7 ตุลาคม 2551 เวลาประมาณ 06.15 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจประมาณ 5 กองร้อย ได้ยิงแก๊สน้ำตาเข้าใส่กลุ่มผู้ชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ประมาณ 1,500 คน ที่ชุมนุมอยู่บริเวณถนนราชวิถี และถนนสุโขทัย โดยรอบรัฐสภา เพื่อสลายการชุมนุมเปิดทางให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และคณะรัฐมนตรีสามารถเข้าร่วมประชุมการแถลงนโยบายของรัฐบาลที่รัฐสภาได้ กลุ่มผู้ชุมนุมได้เริ่มต้นชุมนุมมาตั้งแต่คืนวันที่ 6 ตุลาคม 2551 โดยเห็นว่ารัฐบาลไทยภายใต้การนำของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ขาดความชอบธรรมในการบริหารประเทศ 2 ประการ
กล่าวคือ 1.กรณีที่ประธานรัฐสภาบรรจุร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ฉบับ คปพร.เข้าสู่วาระพิจารณา 2.รัฐบาลปัจจุบันเป็นรัฐบาลหุ่นเชิดของอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร สถานการณ์ล่าสุดหลังมีการสลายการชุมนุม คือ ผู้บาดเจ็บจำนวนมากอย่างน้อย 50 รายรวมถึงจากการรายงานข่าวของสำนักข่าวเนชั่นพบว่า มีประชาชนที่ได้รับบาดเจ็บจนขาขาด 1 ราย ด้วยเช่นกัน
ในนามของมูลนิธิสันติวิถี (Peaceway Foundation) แม้เราไม่เห็นด้วยกับเป้าหมายของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในหลายประการ แต่นั่นเป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้ท่ามกลางความแตกต่างหลากหลายของการอยู่ร่วม เราคิดว่าการใช้ความรุนแรงจากรัฐต่อผู้ชุมนุมประท้วงเป็นสิ่งที่ไม่เป็นทางออกในการแก้ไขปัญหา และไม่ใช่วิธีการที่เหมาะสมในการจัดการความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้น รวมถึงยังเป็นภาพสะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวในการจัดการความขัดแย้งทางการเมืองอย่างสันติวิธีซึ่งเป็นแนวทางที่สังคมไทยมุ่งสร้างมาตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา สถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นจึงเป็นสิ่งที่รัฐไทยจะปฏิเสธความรับผิดชอบในครั้งนี้ไม่ได้อย่างเด็ดขาด
ภาพสะท้อนของความรุนแรงที่เกิดขึ้น ชี้ชัดว่าสะท้อนถึงการมุ่งใช้อำนาจรัฐแบบอำนาจนิยมเข้าควบคุม และทำลายสิทธิในการชุมนุมโดยสันติของประชาชน โดยไม่พิจารณาถึงทางเลือกอื่นๆในการจัดการความขัดแย้งที่เกิดขึ้น แนวคิดแบบนี้ย่อมไม่สามารถนำพาสังคมไทยออกจากความขัดแย้งทางการเมืองที่มุ่งไปสู่การยอมรับในความแตกต่างทางความคิด อันเป็นปรากฏการณ์ปกติที่มีในสังคมประชาธิปไตยทั่วไป
ดังนั้น เราจึงขอประณามความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากการใช้ความรุนแรงในการสลายการชุมนุมของฝ่ายรัฐ และประณามทุกฝ่ายที่นำพาไปสู่สถานการณ์ที่ก่อให้เกิดความรุนแรง ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายฝ่ายได้ออกมาเคลื่อนไหวและเตือนสติในตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน ก็ขอให้ทุกฝ่ายยึดมั่นในสันติวิธีที่จะไม่ใช้ความรุนแรงในการตอบโต้ความรุนแรงที่เกิดขึ้น เพราะนั่นย่อมเป็นการนำไปสู่หนทางแห่งความรุนแรงและความเกลียดชังต่อกันยิ่งขึ้น
สิ่งสำคัญที่ควรพิจารณาร่วมกันก่อนที่รัฐไทยจะใช้ความรุนแรงเป็นวิถีในการแก้ปัญหาในครั้งต่อๆ ไป คือ การทบทวนท่าทีทั้งของฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย คือ แนวทางการนำไปสู่การเจรจาเพื่อแก้ไขปัญหาทางการเมืองร่วมกัน และการเปิดให้ประชาชนในสังคมทุกฝ่ายได้มีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วมในการแสวงหาทางออกทางการเมืองร่วมกัน
ขณะเดียวกัน สิ่งที่สังคมไทยควรตระหนักนั่นคือ ความเห็นต่างที่นำไปสู่ความเพิกเฉยต่อความรุนแรงที่เกิดขึ้นมีแนวโน้มที่จะสร้างความรุนแรงในระดับที่สูงขึ้น และกลายเป็นความชอบธรรมที่ฝ่ายที่มีอำนาจและฝ่ายต่างๆที่จะใช้ความรุนแรงมากขึ้นได้
เราเชื่อมั่นว่า สันติวิธีเป็นแนวทางที่เหมาะสมต่อการแก้ไขปัญหาความรุนแรงและความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้น และสิ่งที่เราคาดหวังกับสังคมไทย คือ เราหวังว่าสังคมไทยจะยอมรับรวมถึงเสี่ยงที่จะไว้วางใจต่อผู้ที่คิดต่าง และแสวงหาทางออกร่วมกันด้วยการรับฟังในความคิดเห็น ยอมรับเหตุผลของความแตกต่างและไม่ผลิตซ้ำความรุนแรงที่เกิดขึ้น แต่มุ่งสร้างแนวทางสันติจากทุกระดับจากประชาชนทุกคน
ด้วยจิตคารวะและเชื่อมั่นพลังสามัญชน
มูลนิธิส่งเสริมสันติวิถี (Peaceway Foundation)
7 ตุลาคม 2551