สมัครผู้ว่าฯ กทม.ประชันนโยบายเพื่อผู้พิการ “เกรียงศักดิ์” ชูเปิดสวนและศูนย์ กทม.ให้ผู้พิการมีงานทำ “อภิรักษ์” สานงานต่อคุณภาพชีวิตให้คนพิการเรียนรู้อย่างเท่าเทียม “ประภัสร์” เน้นรถใต้ดินเอื้อคนพิการ “ชูวิทย์” แนะออก กม.เพื่อคนพิการ
ในเวทีวิสัยทัศน์ผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เรื่อง “นโยบายเพื่อผู้ด้อยโอกาส-ผู้พิการ” จัดโดยคณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.ต่างแสดงวิสัยทัศน์เรื่องสิทธิและโอกาสของผู้พิการ โดยผู้สมัครเด่น 4 คนได้ขึ้นเวทีพูดก่อนในรอบแรก
นายเกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ กล่าวว่า ต้องการส่งเสริมคนพิการให้มีโอกาสเหมือนคนปกติ สามารถยืนได้อย่างสง่างาม ซึ่งตนมีจิตใจช่วยเหลือผู้พิการมาตั้งแต่เด็ก ได้พยายามเรียนรู้การเขียนอักษรเบรลล์ของคนตาบอด จนสามารถเขียนได้ และได้แปลหนังสือเพื่อผู้พิการ หากตนเป็นผู้ว่าฯ จะส่งเสริมและช่วยเหลือคนพิการหรือมนุษย์ล้อ ให้สามารถโดยสารรถประจำทาง และรถสาธารณะได้สะดวก พร้อมมีป้ายบอกทางที่เป็นอักษรเบรลล์ และห้องน้ำสาธารณะที่อำนวยความสะดวก และจะถือเป็นนโยบายหลักของ กทม. ต้องมีห้องน้ำคนพิการ และให้ศูนย์กีฬามีสถานที่ออกกำลังกายของผู้พิการ จะให้ผู้พิการสามารถทำงานในศูนย์กีฬาและสวนได้ โดยจะมี 1 แห่งให้ดำเนินงานโดยคนพิการทั้งหมด และจะประสานภาคเอกชนให้รับผู้พิการเข้าทำงานด้วย
นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน กล่าวว่า จะสานต่องานเดิม ที่เห็นคุณค่าและส่งเสริมคุณภาพชีวิตคนพิการให้มีอิสรภาพและเท่าเทียม สถานที่ราชการจะมีห้องน้ำเฉพาะและราวจับ ส่งเสริมพัฒนาอาชีพผู้พิการ มีหนังสือเสียงสำหรับคนตาบอดในห้องสมุด กทม. และจะส่งเสริมด้านการศึกษาให้สิทธิการเรียนการศึกษาอย่างเท่าเทียม
นายประภัสร์ จงสงวน ยืนยันว่า จากผลงานรถไฟฟ้าใต้ดินแสดงให้เห็นชัดเจนว่าตนได้ช่วยเหลือคนพิการเต็มที่ เดินทางสะดวก ไม่ถูกจองจำ หรือจำกัดสถานที่ ทำให้ใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติ โดยมีการดึงสมาคมผู้พิการเข้ามาร่วมออกแบบสถานที่เพื่ออำนวยความสะดวก และ กทม.ก็จะมีสิ่งอำนวยความสะดวกเช่นกัน ซึ่งสิ่งที่พูดนี้ทำได้จริง ไม่เหมือนที่ผ่านมามีคนพูดแล้วทำไม่ได้
ด้าน นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ที่เดินทางมาถึงเป็นคนสุดท้าย และใช้เวลาพูดเพียง 3 นาที กล่าวว่า สิ่งที่ตนพูดในวันนี้ล้วนเป็นความจริง ไม่ได้ต้องการให้คนเกลียด แต่การจะช่วยผู้พิการไม่ใช่การขายฝัน แต่ต้องเป็นเรื่องจิตใจ ทำให้เท่าเทียม ไม่ใช่บอกว่ามีสะพานลอย มีลิฟต์ มีบันได แต่ กทม.ต้องออกกฎหมายเพื่อผู้พิการ โดยนำต้นแบบจากสหรัฐ เริ่มจากการออกใบอนุญาตขับขี่สำหรับผู้พิการ การอำนวยความสะดวกในที่จอดรถคนพิการ ทั้งนี้ อำนาจผู้ว่าฯ กทม.ควบคุมไม่ได้ทุกอย่าง แต่ต้องทำหน้าที่ประสานงานให้ทุกอย่างเกิดขึ้นได้บนพื้นฐานความจริง ไม่ใช่การพูดแต่บนเวทีเท่านั้น 4 ปีก่อนก็เคยแสดงวิสัยทัศน์เรื่องนี้แล้ว แต่ผ่านมา 4 ปี ก็ไม่เห็นมีอะไรแตกต่าง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่นายชูวิทย์ กล่าว นายอภิรักษ์ซึ่งนั่งติดกับนายชูวิทย์แสดงท่าทางพยายามให้สีหน้านิ่งที่สุด ส่วนนางลีนา จังจรรจา ที่มานั่งฟังด้วยได้เดินเข้าไปก้มกราบที่ตักของนายชูวิทย์ เพราะชอบใจที่นายชูวิทย์ท้วงติงผู้จัดเรื่องความไม่เท่าเทียมที่ให้ผู้สมัครเด่น 4 คนขึ้นพูดก่อน
ในเวทีวิสัยทัศน์ผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เรื่อง “นโยบายเพื่อผู้ด้อยโอกาส-ผู้พิการ” จัดโดยคณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.ต่างแสดงวิสัยทัศน์เรื่องสิทธิและโอกาสของผู้พิการ โดยผู้สมัครเด่น 4 คนได้ขึ้นเวทีพูดก่อนในรอบแรก
นายเกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ กล่าวว่า ต้องการส่งเสริมคนพิการให้มีโอกาสเหมือนคนปกติ สามารถยืนได้อย่างสง่างาม ซึ่งตนมีจิตใจช่วยเหลือผู้พิการมาตั้งแต่เด็ก ได้พยายามเรียนรู้การเขียนอักษรเบรลล์ของคนตาบอด จนสามารถเขียนได้ และได้แปลหนังสือเพื่อผู้พิการ หากตนเป็นผู้ว่าฯ จะส่งเสริมและช่วยเหลือคนพิการหรือมนุษย์ล้อ ให้สามารถโดยสารรถประจำทาง และรถสาธารณะได้สะดวก พร้อมมีป้ายบอกทางที่เป็นอักษรเบรลล์ และห้องน้ำสาธารณะที่อำนวยความสะดวก และจะถือเป็นนโยบายหลักของ กทม. ต้องมีห้องน้ำคนพิการ และให้ศูนย์กีฬามีสถานที่ออกกำลังกายของผู้พิการ จะให้ผู้พิการสามารถทำงานในศูนย์กีฬาและสวนได้ โดยจะมี 1 แห่งให้ดำเนินงานโดยคนพิการทั้งหมด และจะประสานภาคเอกชนให้รับผู้พิการเข้าทำงานด้วย
นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน กล่าวว่า จะสานต่องานเดิม ที่เห็นคุณค่าและส่งเสริมคุณภาพชีวิตคนพิการให้มีอิสรภาพและเท่าเทียม สถานที่ราชการจะมีห้องน้ำเฉพาะและราวจับ ส่งเสริมพัฒนาอาชีพผู้พิการ มีหนังสือเสียงสำหรับคนตาบอดในห้องสมุด กทม. และจะส่งเสริมด้านการศึกษาให้สิทธิการเรียนการศึกษาอย่างเท่าเทียม
นายประภัสร์ จงสงวน ยืนยันว่า จากผลงานรถไฟฟ้าใต้ดินแสดงให้เห็นชัดเจนว่าตนได้ช่วยเหลือคนพิการเต็มที่ เดินทางสะดวก ไม่ถูกจองจำ หรือจำกัดสถานที่ ทำให้ใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติ โดยมีการดึงสมาคมผู้พิการเข้ามาร่วมออกแบบสถานที่เพื่ออำนวยความสะดวก และ กทม.ก็จะมีสิ่งอำนวยความสะดวกเช่นกัน ซึ่งสิ่งที่พูดนี้ทำได้จริง ไม่เหมือนที่ผ่านมามีคนพูดแล้วทำไม่ได้
ด้าน นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ที่เดินทางมาถึงเป็นคนสุดท้าย และใช้เวลาพูดเพียง 3 นาที กล่าวว่า สิ่งที่ตนพูดในวันนี้ล้วนเป็นความจริง ไม่ได้ต้องการให้คนเกลียด แต่การจะช่วยผู้พิการไม่ใช่การขายฝัน แต่ต้องเป็นเรื่องจิตใจ ทำให้เท่าเทียม ไม่ใช่บอกว่ามีสะพานลอย มีลิฟต์ มีบันได แต่ กทม.ต้องออกกฎหมายเพื่อผู้พิการ โดยนำต้นแบบจากสหรัฐ เริ่มจากการออกใบอนุญาตขับขี่สำหรับผู้พิการ การอำนวยความสะดวกในที่จอดรถคนพิการ ทั้งนี้ อำนาจผู้ว่าฯ กทม.ควบคุมไม่ได้ทุกอย่าง แต่ต้องทำหน้าที่ประสานงานให้ทุกอย่างเกิดขึ้นได้บนพื้นฐานความจริง ไม่ใช่การพูดแต่บนเวทีเท่านั้น 4 ปีก่อนก็เคยแสดงวิสัยทัศน์เรื่องนี้แล้ว แต่ผ่านมา 4 ปี ก็ไม่เห็นมีอะไรแตกต่าง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่นายชูวิทย์ กล่าว นายอภิรักษ์ซึ่งนั่งติดกับนายชูวิทย์แสดงท่าทางพยายามให้สีหน้านิ่งที่สุด ส่วนนางลีนา จังจรรจา ที่มานั่งฟังด้วยได้เดินเข้าไปก้มกราบที่ตักของนายชูวิทย์ เพราะชอบใจที่นายชูวิทย์ท้วงติงผู้จัดเรื่องความไม่เท่าเทียมที่ให้ผู้สมัครเด่น 4 คนขึ้นพูดก่อน
