หลังจากวันที่ 26 สิงหาคม ที่แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ประกาศเป่านกหวีดรวมพลพันธมิตรฯ เพื่อดำเนินการยุทธศาสตร์ “ไทยคู่ฟ้า” และนำผู้ชุมนุมเข้ายึดพื้นที่ในทำเนียบรัฐบาลไว้ได้
ถัดมาเพียง 3 วัน ในวันที่ 29 สิงหาคม เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ใช้กำลังเข้าไปบุกค้นทำลายข้าวของ และทุบตีกลุ่มผู้ชุมนุมหลายคนบริเวณ “สะพานมัฆวานรังสรรค์” ซึ่งเป็นจุดที่ผู้ชุมนุมพันธมิตรฯ ปักหลักยืดเยื้อมายาวนาน ก่อนจะเคลื่อนย้ายไปยังทำเนียบรัฐบาล อันทำให้กำลังคนในจุดดังกล่าวลดน้อยลง ซึ่งการกระทำดังกล่าวนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้อ้างว่าเป็นการนำคำสั่งบังคับคดีของศาลแพ่งที่ให้พันธมิตรฯ ออกจากพื้นที่ชุมนุม
ทว่าการเข้าไปติดคำสั่งบังคับคดีของตำรวจครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้ใช้กระบองเข้าทุบตีและทำร้ายประชาชน ทำให้ผู้ชุมนุมหลายคนได้รับบาดเจ็บ ไม่เว้นแม้กระทั่งผู้หญิง คนแก่ เด็ก และหมาตัวเล็กๆ ที่ชื่อ “น้องพลอย”
“น้องพลอย” เป็นสุนัขพันธุ์ชิสุห์ เพศผู้ อายุขวบเศษ ที่ “วราวรรณ กาฬสุวรรณ” ผู้เป็นเจ้าของหอบหิ้วมาที่สะพานมัฆวานฯ ด้วย เนื่องจากเธอได้มาปักหลักชุมนุมกับพันธมิตรฯ นับตั้งแต่วันที่ 27 พฤษภาคม 2551 เมื่อการชุมนุมยืดเยื้อผ่านเดือนแรกไป วราวรรณจึงตัดสินใจพาน้องพลอยออกจากบ้านที่คลองด่าน จ.สมุทรปราการ มาอยู่ด้วยกันที่ชุมนุม เนื่องจากเห็นว่าในที่ชุมนุมไม่มีอันตราย และน้องพลอยจะไม่ต้องอยู่บ้านตามลำพัง
ผู้ชุมนุมหลายคนจึงคุ้นเคยกับน้องพลอยเป็นอย่างดี เพราะน้องพลอยมักจะวิ่งเล่นอยู่ในที่ชุมนุมบริเวณสะพานมัฆวานฯ เป็นประจำ
“วันที่ตำรวจบุกเข้ามาที่สะพานมัฆวานฯ พี่ไปเป็นการ์ดอาสาอยู่ที่ประตู 7 ทำเนียบรัฐบาล ตรงจุดที่พี่เคยอยู่ที่มัฆวานพี่ให้น้องอิน (ด.ช.ศุภสิน ณ นคร อายุ 13 ปี ) ลูกชายอยู่กับน้องพลอย และคุณยายที่มาร่วมชุมนุมอีก 2 คน เพราะเราไม่คิดว่าจะมีเหตุการณ์ร้ายแรงอะไรเกิดขึ้น แต่พอช่วงสายน้องอินโทรศัพท์เข้ามาที่มือถือ บอกว่าแม่น้องอินถูกตี น้องพลอยถูกเตะ พี่ตกใจมากรีบวิ่งกลับมาหาลูกที่สะพานมัฆวานฯ ทันที”
แต่ทันทีที่เธอมาถึงก็ถูกกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจกันไว้ไม่ให้เข้าไปหาลูก หนำซ้ำยังถามเธอว่า “โสเภณีจะเข้ามาทำไม” ...ซึ่งวราวรรณไม่ได้สนใจกับสิ่งที่ตำรวจถาม เพราะเธอมุ่งความสนใจไปที่ลูกชาย และในวันนั้นเธอก็ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจทำร้ายด้วยเช่นกัน
“หลังจากวันนั้น พี่ก็พาลูกชายและน้องพลอยกลับไปบ้าน น้องอินก็เล่าให้พี่ฟังว่า แม่...ตำรวจตีน้องอิน แล้วน้องพลอยก็ถูกเตะด้วย พี่ก็สำรวจเนื้อตัวน้องอิน แล้วก็น้องพลอย เห็นหูด้านขวาน้องพลอยช้ำเป็นรอยห้อเลือด แต่อาการอย่างอื่นก็ไม่เห็นมีอะไรปกติ พี่ก็ยังมาที่ชุมนุมเป็นประจำให้น้องพลอยกับน้องอินอยู่บ้าน เพราะเป็นช่วงใกล้สอบ และก็คิดว่าน้องพลอยคงไม่เป็นอะไรมาก”
กระทั่งผ่านไป 4 วัน วราวรรณได้รับโทรศัพท์จากลูกชาย โทร.มาบอกว่า น้องพลอยมีเลือดไหลออกจากตาข้างขวา เธอจึงพาน้องพลอยไปหาหมอที่คลินิกรักษาสัตว์ หมอบอกเพียงว่าตาอักเสบให้ยามาหยอดตา แต่อาการของน้องพลอยก็ไม่ดีขึ้น น้องพลอยเริ่มซึม ไม่รับประทานอาหาร ตาบวม และเริ่มมีหนองไหลออกจากตา
“พี่เลยรีบพาน้องพลอยไปที่โรงพยาบาลสัตว์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยทางกองทัพธรรมให้เงินค่ารักษาไป 1 พันบาท พอหมอเห็นอาการก็รีบนำน้องพลอยเข้าห้องผ่าตัดทันที”
หลังการผ่าตัดคุณหมอแจ้งว่า ตาข้างขวาของน้องพลอยมีอาการแก้วตาชั้นที่ 3 ฉีกขาด หมอผ่าตัดและเย็บแก้วตากลับคืนให้ แต่ผลการรักษายังต้องลุ้นในวันที่ 29 กันยายนที่จะถึงนี้
“หมอนัดให้พาน้องพลอยไปดูอาการอีกครั้งวันที่ 29 กันยายน หากแก้วตาเขากลับคืนสภาพเดิม น้องพลอยก็มีโอกาสหายมองเห็นได้ปกติ แต่หากแก้วตาไม่กลับคืน หมอจะต้องควักลูกตาน้องพลอยทิ้ง แน่นอนว่าตาขวาจะบอดสนิท”
วราวรรณ บอกด้วยว่า นับตั้งแต่พาน้องพลอยไปรักษาตัว ได้รับน้ำใจจากพันธมิตรฯ ที่มาร่วมชุมนุมทั้งให้กำลังใจน้องพลอย และร่วมบริจาคเป็นค่ารักษาพยาบาลน้องพลอย โดยเธอได้ตั้งกล่องขอรับบริจาคค่ารักษาพยาบาลน้องพลอยจากพันธมิตรฯ และทุกครั้งที่นำเงินไปใช้รักษาน้องพลอยก็จะนำใบเสร็จมาใส่กล่องให้ผู้บริจาคได้รับทราบค่าใช้จ่าย เงินส่วนที่เหลือก็ซื้ออาหารให้น้องพลอย ซึ่งตอนนี้น้องพลอยกินได้แต่อาหารเปียก เนื่องจากยังไม่สามารถเคี้ยวอาหารเม็ดได้ เพราะจะส่งผลกระทบถึงดวงตาที่ผ่าตัด
วราวรรณ ยืนยันว่า ไม่เคยเอาเงินบริจาคของน้องพลอยไปใช้ส่วนตัว ปัจจุบันน้องพลอยมีเงินบริจาคเหลืออีก 1,800 บาท ซึ่งเธอเตรียมไว้สำหรับพาน้องพลอยไปหาหมอในวันที่ 29 กันยายนตามที่หมอนัด
“พี่เลี้ยงน้องพลอยก็เหมือนลูกคนหนึ่ง อยากจะถามตำรวจว่า ไปเตะเขาทำไม เขาก็แค่หมาตัวเล็กๆ ตัวหนึ่งเท่านั้นที่อยู่ในที่ชุมนุม จะไปทำอะไรตำรวจได้ แต่ตำรวจใส่รองเท้าคอมแบทเตะเขา พี่พูดไม่ออก”
เมื่อถามว่า อยากฝากอะไรถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือไม่ วราวรรณ น้ำตาคลอพร้อมกล่าวเพียงสั้นๆ ว่า “แค่อยากถามตำรวจว่าเตะหมาทำไม”
หมายเหตุ- ให้กำลังใจ “น้องพลอย” ได้ที่บริเวณเต็นท์พยาบาลเวทีสะพานมัฆวานฯ