ในปี 2546 ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ประเทศไทย เสียงเชียร์กระหึ่มดังก้องเมื่อ “ทีมนายฮ้อยทมิฬ 2002 V.2” วิทยาลัยการอาชีพสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร ตัวแทนประเทศไทยคว้าแชมป์หุ่นยนต์นานาชาติ ABU Asia-Pacific Robot Contest 2003 Bangkok และด้วยเหตุการณ์นี้เองทำให้เด็กหนุ่มสกลนครรุ่นน้องนั่งเฝ้ามองเหตุการณ์หน้าจอตั้งปณิธาน ว่า สักวันหนึ่งพวกเขาจะได้มายืน ณ จุดที่รุ่นพี่ยืนได้

5 ปีต่อมาปี 2551 ณ สถาบันเทคโนโลยีมหาราชา หรือ Maharashtra Institute of Technology (MIT) เมืองปูเน่ ประเทศอินเดีย เด็กหนุ่มผู้เคยเฝ้ามองหน้าจอได้มายืน ณ จุดที่รุ่นพี่พวกเขาเคยยืน พวกเขาในนาม “P.E.M.2008” วิทยาลัยเทคนิคสกล กลายเป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมการแข่งขัน ABU Asia-Pacific Robot Contest 2008 และเสียงเชียร์จากกองเชียร์ไทยดังขึ้นเมื่อทีม ชนะทีมอินเดีย Maharashtra Institute of Technology, Pune เจ้าภาพเป็นที่หนึ่งของสายอี เข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย
ช่วงเวลาต่อมาเวลาที่น่าตื่นเต้นของกองเชียร์ไทยเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อไทยต้องลงสนามเจอกับทีม Toyohashi Robocons จากประเทศญี่ปุ่น อินเดียเจ้าภาพที่พ่ายไทยไปแล้วเอาหัวใจและเสียงเชียร์มาให้ทีมไทยแทน
เมื่อสิ้นเสียง “Go” 3 นาทีจากนี้จะรู้ผล หุ่นยนต์ไทยวิ่งสู่สนามก่อนญี่ปุ่น แต่ในเสี้ยววินาทีหุ่นยนต์อัตโนมัติของญี่ปุ่นก็เข้าชนหุ่นยนต์ไทยเป็นผลให้ญี่ปุ่นเก็บแต้มนำไทยไป 31:16 แต้มและผ่านเข้ารอบ 4 ทีมสุดท้าย พร้อมกับการไม่ได้ไปต่อของหุ่นยนต์ไทยที่คาดหวังว่าจะเข้าไปชิงแชมป์กับจีน

หลังการแข่งขันจบลง คิว - ณัฐวุฒิ นิ่มนาง หัวหน้าทีมและ Navigator เด็กหนุ่มจากวิทยาลัยเทคนิคสกลนคร เล่าความรู้สึกว่า อาจารย์ที่ปรึกษาทีมได้ปลอบใจว่าได้ทำหน้าที่เป็นตัวแทนประเทศไทยได้ดีที่สุดแล้ว แต่อย่างไรก็ตามเขารู้สึกเสียดายที่อุตส่าห์เดินมาไกล แต่ทำได้ดีที่สุดเพียง 8 ทีมเท่านั้น พร้อมเปิดเผยว่าสาเหตุที่แพ้อาจเป็นเพราะวางแผนการเล่นผิดพลาดและอ่านเกมของญี่ปุ่นไม่ทะลุ ทำให้รูปเกมออกมาในรูปแบบตามที่เห็นและแพ้คะแนนไปที่สุด
แม้จะพ่ายญี่ปุ่นต้นตำรับของหุ่นยนต์และหมดโอกาสชิงแชมป์ แต่การมาเยือนปูเน่ เมืองแห่งการศึกษาและเทคโนโลยีของอินเดียในครั้งนี้ อย่างน้อยทำให้เด็กอาชีวะไทยจากสกลนครได้ศึกษาหุ่นยนต์จากประเทศเพื่อนบ้านที่ก้าวหน้าไปมาก อย่างจีน อียิปต์ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ หรือแม้แต่เวียดนาม ซึ่งพัฒนาแตกต่างไปจากปีก่อนๆ อีกทั้งทุกประเทศเดินเกมฉลาดมากขึ้น เห็นจากเกมที่จีน ซึ่งตกเป็นรองอียิปต์ในรอบชิงชนะเลิศ แต่จีนเลือกแก้เกมโดยการขโมย 9 แต้มจากอียิปต์และยอมเสีย 3 แต้มทำให้จีนชนะอียิปต์แบบหวุดหวิด 22 : 21
“ถ้าเปรียบเทียบอียิปต์กับทีมไทยก็จะเปรียบได้กับพี่ๆ ทีมพระนครเหนือที่เดินเกมเร็ว แรง และหนัก จีนเขาก็เดินเกมเร็วเหมือนกัน แต่อาศัยว่าขนาดหุ่นยนต์ที่เล็กและคล่องตัว ระบบเซ็นเซอร์เขาดีทำให้เบรกเร็วและแก้เกมได้ไวมาก ซึ่งเปรียบกับหุ่นไทยแล้วถือว่าเราเป็นรองจีนที่ระบบเซ็นเซอร์ แต่สำหรับญี่ปุ่นที่เราแพ้เพราะเราอ่านเกมผิด ไม่เกี่ยวกับหุ่นเพราะถือว่าหุ่นยนต์เราสูสีกันมาก” หัวหน้าทีมเอ่ยพร้อมถอนหายใจเสียดาย
อนุพงษ์ ไชยบุบผา - แบต ผู้บังคับหุ่นยนต์บังคับด้วยมือ ในฐานะที่จะต้องแก้เกมกับญี่ปุ่นขณะที่อยู่ในสนาม บอกว่า จากการประเมินสถานการณ์ขณะนั้น พบว่า หุ่นยนต์ของไทยเสียเปรียบที่หุ่นบังคับด้วยมือ เนื่องจากสู้ความเร็วและประโยชน์ใช้สอยของญี่ปุ่นไม่ได้ ด้วยเหตุนี้เวลา 3 นาทีในการแข่งขัน สปีดที่เร็วกว่าเพียงเสี้ยววินาทีก็ทำให้แพ้หรือชนะได้
“ยอมรับว่า เราอ่านเกมผิดจริง แต่หุ่นยนต์เราก็เสียเปรียบญี่ปุ่นอยู่บ้างตรงประโยชน์ใช้สอย หุ่นเขาหนึ่งตัวทำได้หลายอย่าง หุ่นออโต้เขาต่อตัวกับแมนนวลได้เร็ว ขณะที่เรายังทำได้ไม่ดีสู้เขา ก็ยอมรับว่าแพ้ที่รูปเกม ไม่เสียใจแต่เสียดายนิดหน่อย” แบตเอ่ย

ขณะรุ่นพี่ที่เตรียมปลดประจำการในปีหน้าอย่าง ธีระศักดิ์ เทบำรุง – เอ ผู้ออกแบบวงจรอีเล็กทรอนิกส์ เขียนโปรแกรมควบคุมหุ่นยนต์ บอกว่า บทเรียนในการแข่งขันครั้งนี้ให้อะไรหลายอย่างมากกว่าแพ้หรือชนะ พวกเขาที่เดินทางไกลได้มาเห็นคู่แข่งนานาชาติ ได้เห็นระบบเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าของแต่ละประเทศ และคาดว่าสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการปรับปรุงและพัฒนาหุ่นยนต์ไทยต่อไป
“ปีนี้ระบบเซ็นเซอร์เราไม่ค่อยดีเพราะยังอ่านทิศทางไม่ได้ต้องอาศัยการกะระยะอยู่ แต่หากปีหน้าเราเขียนโปรแกรมและเพิ่มระบบเซ็นเซอร์เส้นทางน่าจะดีกว่านี้ ซึ่งตรงนี้จะต้องฝึกฝนรุ่นน้องต่อไป” เอให้ความมั่นใจ
สำหรับความก้าวหน้าของอาชีวะไทยที่มาไกลถึงระดับนานาชาตินี้ทำให้ นักศึกษาชั้น ปวส.2 ผู้นี้เชื่อว่าในอนาคตที่โลกของเราจะเต็มไปด้วยหุ่นยนต์และเชื่อว่าสาขางานอิเล็กทรอนิกส์เป็นงานที่มีความจำเป็นในการพัฒนาด้านเทคโนโลยีการประดิษฐ์หุ่นยนต์และงานอื่นๆ ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
ไพรัช นูขุนทด หัวหน้าคณะอาจารย์ที่ปรึกษาทีม เปิดเผยว่า หลังการแข่งขันได้ปลอบใจเด็กไทยว่า “ทำดีที่สุดแล้ว” และถือว่าเป็นก้าวย่างที่น่าภูมิใจของอาชีวะไทยที่สามารถชนะระดับชาติและเป็นตัวแทนประเทศมาแข่งในเวทีนานาชาติแม้ว่าผลออกมาจะยังไม่เป็นไปอย่างที่คาดหวัง แต่ถือว่าอยู่ในระดับที่พอใจ
“เราเสียดาย แต่ก็ต้องยอมรับว่าแต่ละทีมเก่งมาก จีนเทคโนโลยีสูงสุดยอด เวียดนาม เกาหลี อียิปต์ มาแรงทุกประเทศ ไทยกับญี่ปุ่นสูสี และเขาวางแผนเฉียบกว่า เราแพ้เด็กก็ยอมรับจุดนี้ อีกทั้ง 18 ประเทศที่เข้าร่วมแข่งขันได้ศึกษาแผนการเล่นของคู่แข่งมาเป็นอย่างดี อย่างไรก็ดีการแข่งขันระดับนานาชาติครั้งนี้เป็นการพิสูจน์ฝีมือเด็กอาชีวะไทยระดับหนึ่ง อีกทั้งเป็นได้เปิดหูเปิดตาศึกษาเทคโนโลยี ระบบเซ็นเซอร์ของต่างประเทศที่เมืองไทยไม่มี เพื่อนำไปปรับใช้ในปีต่อไปได้อีกด้วย”อาจารย์ที่ปรึกษาทีม กล่าว
สำหรับการแข่งขันหุ่นยนต์ ABU Asia-Pacific Robot Contest 2009 ครั้งต่อไปที่จะจัดขึ้นที่ญี่ปุ่น เด็กไทยให้คำมั่นว่าจะพยายามผ่านด่านระดับชาติเพื่อเข้าไปแก้มือกับญี่ปุ่นแน่นอน
ณัฐวุฒิ ซึ่งกำลังจะก้าวเป็นพี่ใหญ่ บอกทิ้งท้ายว่า จะปรับปรุงระบบโปรแกรม ตลอดจนการออกแบบหุ่นยนต์เพื่อคล่องตัวให้สะดวก และเพิ่มระบบเซ็นเซอร์ให้ดียิ่งขึ้น แต่ทั้งนี้จะต้องรอดูก่อนว่ากติกาของประเทศเจ้าภาพเป็นอย่างไรจึงจะปรับปรุงให้ตรงกับแนวทาง และเตรียมศึกษาแผนการเล่นของคู่แข่งไว้แต่เนิ่นได้ทัน
“ปีหน้าเราคงต้องสู้อีก กว่าจะผ่านแต่ละด่านมาได้ไม่ใช่เรื่องง่ายแต่จะพยายามอย่างสุดความสามารถและสัญญาว่าปีหน้าจะขอแก้มือกับญี่ปุ่นอีกครั้ง” หัวหน้าทีมบอกก่อนจะขอตัวไปแสดงความยินดีกับเพื่อนผู้ชนะ...
5 ปีต่อมาปี 2551 ณ สถาบันเทคโนโลยีมหาราชา หรือ Maharashtra Institute of Technology (MIT) เมืองปูเน่ ประเทศอินเดีย เด็กหนุ่มผู้เคยเฝ้ามองหน้าจอได้มายืน ณ จุดที่รุ่นพี่พวกเขาเคยยืน พวกเขาในนาม “P.E.M.2008” วิทยาลัยเทคนิคสกล กลายเป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมการแข่งขัน ABU Asia-Pacific Robot Contest 2008 และเสียงเชียร์จากกองเชียร์ไทยดังขึ้นเมื่อทีม ชนะทีมอินเดีย Maharashtra Institute of Technology, Pune เจ้าภาพเป็นที่หนึ่งของสายอี เข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย
ช่วงเวลาต่อมาเวลาที่น่าตื่นเต้นของกองเชียร์ไทยเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อไทยต้องลงสนามเจอกับทีม Toyohashi Robocons จากประเทศญี่ปุ่น อินเดียเจ้าภาพที่พ่ายไทยไปแล้วเอาหัวใจและเสียงเชียร์มาให้ทีมไทยแทน
เมื่อสิ้นเสียง “Go” 3 นาทีจากนี้จะรู้ผล หุ่นยนต์ไทยวิ่งสู่สนามก่อนญี่ปุ่น แต่ในเสี้ยววินาทีหุ่นยนต์อัตโนมัติของญี่ปุ่นก็เข้าชนหุ่นยนต์ไทยเป็นผลให้ญี่ปุ่นเก็บแต้มนำไทยไป 31:16 แต้มและผ่านเข้ารอบ 4 ทีมสุดท้าย พร้อมกับการไม่ได้ไปต่อของหุ่นยนต์ไทยที่คาดหวังว่าจะเข้าไปชิงแชมป์กับจีน
หลังการแข่งขันจบลง คิว - ณัฐวุฒิ นิ่มนาง หัวหน้าทีมและ Navigator เด็กหนุ่มจากวิทยาลัยเทคนิคสกลนคร เล่าความรู้สึกว่า อาจารย์ที่ปรึกษาทีมได้ปลอบใจว่าได้ทำหน้าที่เป็นตัวแทนประเทศไทยได้ดีที่สุดแล้ว แต่อย่างไรก็ตามเขารู้สึกเสียดายที่อุตส่าห์เดินมาไกล แต่ทำได้ดีที่สุดเพียง 8 ทีมเท่านั้น พร้อมเปิดเผยว่าสาเหตุที่แพ้อาจเป็นเพราะวางแผนการเล่นผิดพลาดและอ่านเกมของญี่ปุ่นไม่ทะลุ ทำให้รูปเกมออกมาในรูปแบบตามที่เห็นและแพ้คะแนนไปที่สุด
แม้จะพ่ายญี่ปุ่นต้นตำรับของหุ่นยนต์และหมดโอกาสชิงแชมป์ แต่การมาเยือนปูเน่ เมืองแห่งการศึกษาและเทคโนโลยีของอินเดียในครั้งนี้ อย่างน้อยทำให้เด็กอาชีวะไทยจากสกลนครได้ศึกษาหุ่นยนต์จากประเทศเพื่อนบ้านที่ก้าวหน้าไปมาก อย่างจีน อียิปต์ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ หรือแม้แต่เวียดนาม ซึ่งพัฒนาแตกต่างไปจากปีก่อนๆ อีกทั้งทุกประเทศเดินเกมฉลาดมากขึ้น เห็นจากเกมที่จีน ซึ่งตกเป็นรองอียิปต์ในรอบชิงชนะเลิศ แต่จีนเลือกแก้เกมโดยการขโมย 9 แต้มจากอียิปต์และยอมเสีย 3 แต้มทำให้จีนชนะอียิปต์แบบหวุดหวิด 22 : 21
“ถ้าเปรียบเทียบอียิปต์กับทีมไทยก็จะเปรียบได้กับพี่ๆ ทีมพระนครเหนือที่เดินเกมเร็ว แรง และหนัก จีนเขาก็เดินเกมเร็วเหมือนกัน แต่อาศัยว่าขนาดหุ่นยนต์ที่เล็กและคล่องตัว ระบบเซ็นเซอร์เขาดีทำให้เบรกเร็วและแก้เกมได้ไวมาก ซึ่งเปรียบกับหุ่นไทยแล้วถือว่าเราเป็นรองจีนที่ระบบเซ็นเซอร์ แต่สำหรับญี่ปุ่นที่เราแพ้เพราะเราอ่านเกมผิด ไม่เกี่ยวกับหุ่นเพราะถือว่าหุ่นยนต์เราสูสีกันมาก” หัวหน้าทีมเอ่ยพร้อมถอนหายใจเสียดาย
อนุพงษ์ ไชยบุบผา - แบต ผู้บังคับหุ่นยนต์บังคับด้วยมือ ในฐานะที่จะต้องแก้เกมกับญี่ปุ่นขณะที่อยู่ในสนาม บอกว่า จากการประเมินสถานการณ์ขณะนั้น พบว่า หุ่นยนต์ของไทยเสียเปรียบที่หุ่นบังคับด้วยมือ เนื่องจากสู้ความเร็วและประโยชน์ใช้สอยของญี่ปุ่นไม่ได้ ด้วยเหตุนี้เวลา 3 นาทีในการแข่งขัน สปีดที่เร็วกว่าเพียงเสี้ยววินาทีก็ทำให้แพ้หรือชนะได้
“ยอมรับว่า เราอ่านเกมผิดจริง แต่หุ่นยนต์เราก็เสียเปรียบญี่ปุ่นอยู่บ้างตรงประโยชน์ใช้สอย หุ่นเขาหนึ่งตัวทำได้หลายอย่าง หุ่นออโต้เขาต่อตัวกับแมนนวลได้เร็ว ขณะที่เรายังทำได้ไม่ดีสู้เขา ก็ยอมรับว่าแพ้ที่รูปเกม ไม่เสียใจแต่เสียดายนิดหน่อย” แบตเอ่ย
ขณะรุ่นพี่ที่เตรียมปลดประจำการในปีหน้าอย่าง ธีระศักดิ์ เทบำรุง – เอ ผู้ออกแบบวงจรอีเล็กทรอนิกส์ เขียนโปรแกรมควบคุมหุ่นยนต์ บอกว่า บทเรียนในการแข่งขันครั้งนี้ให้อะไรหลายอย่างมากกว่าแพ้หรือชนะ พวกเขาที่เดินทางไกลได้มาเห็นคู่แข่งนานาชาติ ได้เห็นระบบเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าของแต่ละประเทศ และคาดว่าสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการปรับปรุงและพัฒนาหุ่นยนต์ไทยต่อไป
“ปีนี้ระบบเซ็นเซอร์เราไม่ค่อยดีเพราะยังอ่านทิศทางไม่ได้ต้องอาศัยการกะระยะอยู่ แต่หากปีหน้าเราเขียนโปรแกรมและเพิ่มระบบเซ็นเซอร์เส้นทางน่าจะดีกว่านี้ ซึ่งตรงนี้จะต้องฝึกฝนรุ่นน้องต่อไป” เอให้ความมั่นใจ
สำหรับความก้าวหน้าของอาชีวะไทยที่มาไกลถึงระดับนานาชาตินี้ทำให้ นักศึกษาชั้น ปวส.2 ผู้นี้เชื่อว่าในอนาคตที่โลกของเราจะเต็มไปด้วยหุ่นยนต์และเชื่อว่าสาขางานอิเล็กทรอนิกส์เป็นงานที่มีความจำเป็นในการพัฒนาด้านเทคโนโลยีการประดิษฐ์หุ่นยนต์และงานอื่นๆ ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
ไพรัช นูขุนทด หัวหน้าคณะอาจารย์ที่ปรึกษาทีม เปิดเผยว่า หลังการแข่งขันได้ปลอบใจเด็กไทยว่า “ทำดีที่สุดแล้ว” และถือว่าเป็นก้าวย่างที่น่าภูมิใจของอาชีวะไทยที่สามารถชนะระดับชาติและเป็นตัวแทนประเทศมาแข่งในเวทีนานาชาติแม้ว่าผลออกมาจะยังไม่เป็นไปอย่างที่คาดหวัง แต่ถือว่าอยู่ในระดับที่พอใจ
“เราเสียดาย แต่ก็ต้องยอมรับว่าแต่ละทีมเก่งมาก จีนเทคโนโลยีสูงสุดยอด เวียดนาม เกาหลี อียิปต์ มาแรงทุกประเทศ ไทยกับญี่ปุ่นสูสี และเขาวางแผนเฉียบกว่า เราแพ้เด็กก็ยอมรับจุดนี้ อีกทั้ง 18 ประเทศที่เข้าร่วมแข่งขันได้ศึกษาแผนการเล่นของคู่แข่งมาเป็นอย่างดี อย่างไรก็ดีการแข่งขันระดับนานาชาติครั้งนี้เป็นการพิสูจน์ฝีมือเด็กอาชีวะไทยระดับหนึ่ง อีกทั้งเป็นได้เปิดหูเปิดตาศึกษาเทคโนโลยี ระบบเซ็นเซอร์ของต่างประเทศที่เมืองไทยไม่มี เพื่อนำไปปรับใช้ในปีต่อไปได้อีกด้วย”อาจารย์ที่ปรึกษาทีม กล่าว
สำหรับการแข่งขันหุ่นยนต์ ABU Asia-Pacific Robot Contest 2009 ครั้งต่อไปที่จะจัดขึ้นที่ญี่ปุ่น เด็กไทยให้คำมั่นว่าจะพยายามผ่านด่านระดับชาติเพื่อเข้าไปแก้มือกับญี่ปุ่นแน่นอน
ณัฐวุฒิ ซึ่งกำลังจะก้าวเป็นพี่ใหญ่ บอกทิ้งท้ายว่า จะปรับปรุงระบบโปรแกรม ตลอดจนการออกแบบหุ่นยนต์เพื่อคล่องตัวให้สะดวก และเพิ่มระบบเซ็นเซอร์ให้ดียิ่งขึ้น แต่ทั้งนี้จะต้องรอดูก่อนว่ากติกาของประเทศเจ้าภาพเป็นอย่างไรจึงจะปรับปรุงให้ตรงกับแนวทาง และเตรียมศึกษาแผนการเล่นของคู่แข่งไว้แต่เนิ่นได้ทัน
“ปีหน้าเราคงต้องสู้อีก กว่าจะผ่านแต่ละด่านมาได้ไม่ใช่เรื่องง่ายแต่จะพยายามอย่างสุดความสามารถและสัญญาว่าปีหน้าจะขอแก้มือกับญี่ปุ่นอีกครั้ง” หัวหน้าทีมบอกก่อนจะขอตัวไปแสดงความยินดีกับเพื่อนผู้ชนะ...