หลังจากซิวแชมป์การแข่งขันหุ่นยนต์ ABUชิงแชมป์ประเทศไทย ในงานถนนเทคโนโลยี 2551 เมื่อวันที่ 15 มิ.ย.ที่ผ่านมา ทีม P.E.M.2008 จากวิทยาลัยเทคนิคสกลนครก็กลายเป็นตัวแทนประเทศไทยที่จะเข้าร่วมแข่งขัน ABU Asia Pacific Robot Contest 2008 ที่จะจัดขึ้นปลายเดือนส.ค.นี้ ณ เมืองปูเน่ ประเทศอินเดีย
ทั้งนี้ แนวคิดของเจ้าภาพปีนี้จะกำหนดตามประเพณีดาฮิ-แฮนดี้ ซึ่งเป็นการแข่งขันต่อตัวเพื่อแย่งก้อนเนยระหว่าง 2 ทีม ดังนั้นการแข่งขันจึงกำหนดให้ประยุกต์สร้างหุ่นยนต์ให้ต่อตัวเพื่อแย่งชินก้อนเนยสีเหลือง 1 ก้อน ก้อนเนยขาว 3 ก้อน และลูกบอลรอบสนาม 8 ลูก ทั้งหมดให้เวลา 3 นาที ถ้าทีมใดเก็บและป้องกันได้มากที่สุดก็ชนะไป
แต่ก่อนการแข่งขันอันเข้มข้นจะมาถึง เรามาเช็คสภาพคน สภาพหุ่นกันหน่อยดีกว่าว่าวันนี้พวกเขามีความพร้อมแค่ไหน...
อ.ไพรัช นูขุนทด หัวหน้าคณะอาจารย์ที่ปรึกษาทีม P.E.M.2008 เล่าที่มาที่ไปของทีมว่า เป็นการรวมตัวของนักศึกษา 3 สาขาอันได้แก่ ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ และช่างเครื่องกลโรงงาน ซึ่งเทคนิคสกลนครเริ่มส่งหุ่นยนต์เข้าแข่งขันในรายการต่างๆ มานานกว่า 9 ปีแล้ว ได้แชมป์บ้าง ไม่ได้แชมป์บ้างก็มีการพัฒนาเรื่อยมา
สำหรับปีนี้ในรายการชิงแชมป์ประเทศไทย เกมจะเน้นไปที่การรับมากกว่ารุก แต่การแข่งขันรอบสุดท้ายที่ได้รับชัยชนะอย่างฉิวเฉียดนั้นทำให้สมาชิกในทีมได้นำข้อดีข้อด้อยมาศึกษา ประกอบกับดูเทปการแข่งขันของทีมคู่แข่งที่น่ากลัวอย่างจีน เวียดนาม และญี่ปุ่น เพื่อรู้เขา รู้เรา จากนั้นจึงปรับรูปแบบการเล่นให้เป็นรุกและรับได้พร้อมกันเพื่อที่จะรับมือได้ในทุกสถานการณ์ โดยเพิ่มฟังก์ชั่นการเคลื่อนไหวของหุ่นยนต์ให้มีความเร็วมากเพิ่มขึ้นด้วย
“ตอนนี้เราเก็บหุ่นยนต์ที่ใช้แข่งขันจริง 4 ตัว เป็นหุ่นยนต์บังคับมือ 1 ตัว และอัตโนมัติ 3 ตัวให้คณะกรรมการตรวจสอบแล้ว เวลาที่เหลือก็จะสร้างหุ่นสำรองอีก 3 ตัวเพื่อเอาไว้ซ้อมก่อนการแข่งขัน รวมแล้วหุ่นยนต์ที่เดินทางไปอินเดียทั้งหมด 7 ตัว ซึ่งฟังก์ชั่นการต่อสู้จะเน้นรุกและรับเอาไว้แก้เกมกับจีน เน้นที่ความเร็วและเรามั่นใจว่าเร็วกว่า โดยจะปล่อยตัวป้องกันออกไปก่อน แล้วปล่อยตัวเก็บแต้มตามไปทีหลัง ซึ่งหากเรากันคู่แข่งได้ แน่นอนว่าคะแนนจะเป็นของเราไม่ยากนักแต่ทั้งนี้ก็ต้องอาศัยความเร็วของคนปล่อยหุ่นด้วย”
อ.ไพรัช บอกอีกว่า ในเวลาแข่งขันจริง แม้หุ่นยนต์จะดีเลิศแค่ไหนก็ยังสำคัญน้อยกว่าผู้บังคับและผู้ปล่อยตัวหุ่น เพราะเวลาแค่เสี้ยววินาทีนั้นชี้ชะตาทีมได้ หากพลาดแม้แต่นิดเดียวอาจทำให้เกิดอาการรวนทั้งระบบ ดังนั้นการตัดสินใจเลือกผู้ปล่อยตัวหุ่นและผู้บังคับหุ่นจึงมีความสำคัญ
“เด็กพวกนี้ต้องมีใจมาเป็นอันดับหนึ่ง เราไม่ต้องการคนเก่ง แต่ต้องการคนที่รักและทุ่มเทสำหรับงานนี้ บางคนที่เข้ามาร่วมทีมไม่ได้เรียนเก่ง แต่เขาอดทนและฝึกฝนจนเป็นที่ยอมรับ อาจารย์จึงมั่นใจมอบหน้าที่การตัดสินใจในสนามให้เขา” ที่ปรึกษาทีมบอก
ณัฐวุฒิ นิ่มนาง-ดิว นักศึกษา ปวส.1 ความรับผิดชอบของเขาคือ หัวหน้าทีมและNavigator ผู้ควบคุมการแข่งขันในสนาม หนุ่มเทคนิคสกลฯ ผู้นี้นั่งยิ้มน้อยๆ ก่อนจะบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบตามประสาคนพูดน้อยว่า ไม่รู้สึกกดดันที่ทุกคนตั้งความหวังเอาไว้มาก คิดแต่ว่าจะทำให้ดีที่สุด โดยขณะนี้พยายามซ้อมทำสมาธิให้มาก เพราะเขาคิดว่าจุดอ่อนของทีมอยู่ที่คนไม่ใช่หุ่น เพราะหุ่นเสียยังซ่อมแซมได้ แต่คนจะต้องใช้การตัดสินใจเฉพาะหน้า ห้ามรวนเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นเกมอาจพลิกผันได้ทุกเมื่อ
“ในรอบชิงแชมป์ประเทศ เรามาจากสกลฯ มาแข่งที่กรุงเทพไม่มีกองเชียร์ คราวนี้ไปอินเดียก็คงไม่ต่างกันเพราะเราไม่ใช่เจ้าภาพ แต่ไม่รู้สึกกดดัน สำหรับทีมอื่นๆ อยู่นอกสนามเราก็เป็นเพื่อนกัน แต่เมื่อลงสนามแล้ว เขาคือคู่แข่งจึงคิดว่าไม่น่ามีปัญหาในการปรับตัว” หัวหน้าทีมให้การยืนยัน
นัส-วนัสสันต์ ไตรแก้ว นักศึกษา ปวช.2 หนุ่มผู้ปล่อยหุ่นยนต์อัตโนมัติ เอ่ยสิ่งที่เขากลัวเมื่อวันแข่งจริงมาถึงว่า มันคือการปล่อยหุ่นยนต์ก่อนเวลาและทำให้ทีมฟาล์วและเสียแต้มไปเฉยๆ 3 แต้ม ดังนั้นสิ่งที่เขาต้องฝึกหนัก ณ เวลานี้ก็คือ ประสาทหู และประสาทตา ให้เร็ว เทคนิคหนึ่งที่พอช่วยได้คือ “การดูมวย” ทำให้หูไว ตาเร็ว เข้าคอนเซ็ปต์เป๊ะ
“ตอนนี้พยามเตรียมตัวเองให้พร้อม ฝึกสมาธิ ประสาทหู ตา และมือให้มันสัมพันธ์กัน เพราะกลัวว่าจะปล่อยหุ่นยนต์ก่อนซึ่งในรอบชิงแชมป์ไทยก็พลาดมาแล้วครั้งหนึ่ง ทีมเสียแต้มไป 3 แต้ม แต่ถ้าปล่อยช้าไปก็จะไม่ทันกันคู่ต่อสู้ เพราะฉะนั้นต้องคอยฟังเสียงนกหวีดดีๆ ความหนักใจตอนนี้มีแค่เรื่องนี้” วนัสสันต์บอก
ขณะที่อนุพงษ์ ไชยบุบผา-แบต นักศึกษา ปวช.1 น้องเล็กสุดผู้ทำหน้าที่บังคับหุ่นยนต์บังคับมือซึ่งทำหน้าที่เก็บลูกบอลรอบนอกสนามทั้ง 12 ลูก ซึ่งต้องอาศัยความเร็วและการกำหนดทิศทางค่อนข้างดี กำลังมือจึงต้องแม่น โดยหนุ่มคนนี้แรกเริ่มมิได้มีทักษะดังกล่าว แต่ด้วยใจที่มุ่งมั่นจึงพยายามฝึกอย่างหนัก จนได้เข้าร่วมในการแข่งขัน
“ตอนแรกเป็นพี่อีกคนหนึ่งที่เล่นเกมเก่งมาก แต่ว่าไม่นานเขาก็ขอออกเพราะอาจารย์ฝึกหนักมาก จากนั้นอาจารย์ก็ฝึกผมอย่างหนักและให้เข้าแข่งชิงแชมป์ประเทศไทย ตอนนี้ผมพร้อม 99.99%” แบตที่ดูเหมือนจะพูดเก่งที่สุดในทีมบอกพร้อมรอยยิ้มและรีบอธิบายว่า อีก 0.01% ที่เหลือนั้นเผื่อว่าเครื่องรวนหรือแบตเตอรี่อ่อนนั่นเอง
ด้านสมชาย นิลจินดา ผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคสกลนคร ในฐานะผู้เฝ้ามองกลุ่ม P.E.M. 2008 มาโดยตลอด แสดงความเห็นว่า กิจกรรมการแข่งขันของสถาบันต่างๆ นั้นเป็นเสมือนสนามประลองขั้นต้น เพื่อใช้ฝึกฝนนักศึกษาอาชีวะ ฝึกให้เป็นนักปฏิบัตินำทฤษฎีสู่การทำงานได้จริง ซึ่งก็ไม่ง่ายนัก ตั้งแต่การเตรียมเข้าแข่งขันชิงแชมป์หุ่นยนต์ระดับประเทศทีมนักศึกษาและคณะอาจารย์ได้ทุ่มเทเวลาทั้งฝึกซ้อม ออกแบบโปรแกรมเรียกได้ว่าจะกินนอนกันที่ห้องRobot ของวิทยาลัยกันทีเดียว
อย่างไรก็ตามกิจกรรมนี้ไม่ได้ทำให้น้องๆ ที่เข้าร่วมทีมนั้นเสียการเรียนแต่อย่างใด เพราะเวลาที่ว่านั้นจะเริ่มหลังจากเลิกเรียนเป็นต้นไป นี่เองได้สร้างความอดทน หล่อหลอมความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และการทำงานเป็นทีมได้เป็นอย่างดี
“เด็กเหล่านี้มีความพร้อมทั้งเรื่องเรียน และการทำกิจกรรม เราจึงต้องดูแลพวกเขาอาจจะด้วยการส่งเสริมการทำงานพิเศษ หรือกิจกรรมการแข่งขันหุ่นยนต์ และแน่นอนว่าการเข้าแข่งขันจะช่วยการบริหารเวลา การวางแผนและการตัดสินใจได้ในอนาคต” ผอ.วิทยาลัยเทคนิคสกลนครกล่าวย้ำ
สำหรับการแข่งขัน ABU Asia Pacific Robot Contest 2008 จะจัดขึ้นในวันที่ 1 ก.ย.นี้ ที่เมืองปูเน่ ประเทศอินเดีย ซึ่งขุนพล Robot ไทยจะเดินทางไปฝึกซ้อมกับสนามก่อนในปลายเดือนส.ค. นี้ โดยมีทีมจากทั่วภูมิภาคอีก 18 ทีมเข้าร่วมแข่งขัน แต่หากฟังจากคำบอกเล่าแล้ว การันตีได้ว่าพวกเขาพร้อมมากกว่าพร้อมแล้ว...