กรมอนามัยตั้งคณะทำงานยกร่างธรรมนูญอนามัยเจริญพันธุ์ให้ประชาชนรับรู้สิทธิตนเอง “นพ.โสภณ” ระบุ ธรรมนูญอนามัยเจริญพันธุ์ให้ข้อมูลประชาชนรอบด้านเกี่ยวกับอนามัยเจริญพันธุ์ แม้พิการ ติดเชื้อเอชไอวี ก็มีสิทธิตั้งครรภ์ได้ แก้ปัญหาการทำแท้งไม่ปลอดภัย มะเร็งระบบสืบพันธุ์ เร่งเสนอคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติเดือนธันวาคมนี้
นพ.โสภณ เมฆธน รองอธิบดีกรมอนามัย ให้สัมภาษณ์ว่า พระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติปี 2550 กำหนดให้มีธรรมนูญสุขภาพ 13 หัวข้อ กรมอนามัยได้แต่งตั้งคณะทำงานเพื่อยกร่างสาระสำคัญของธรรมนูญอนามัยการเจริญพันธุ์เพื่อเสนอให้ ครม.รับรอง เป็นธรรมนูญด้านสุขภาพที่ต้องการให้ประชาชนรับรู้ถึงสิทธิของตนเองด้านอนามัยการเจริญพันธุ์ เช่น การวางแผนครอบครัว การวางแผนมีลูก การป้องกันการแท้งไม่ปลอดภัย เพศศึกษา มะเร็งระบบสืบพันธุ์และเอชไอวี/เอดส์ ซึ่งผลการยกร่างของคณะทำงานมีความคืบหน้ามากแล้ว สาระสำคัญของธรรมนูญอนามัยเจริญพันธุ์คือ ต้องการให้คนไทยรู้ถึงสิทธิตนเอง ทุกคนได้รับบริการข้อมูล การบริการสาธารณสุข การช่วยเหลือสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อเป็นธรรมนูญที่ผ่านมติ ครม.ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องร่วมดำเนินการ ซึ่งคณะทำงานจะเร่งนำเสนอต่อคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติในเดือนธันวาคมปีนี้
“งานอนามัยเจริญพันธุ์เกี่ยวข้องกับหลายกระทรวง เช่น กระทรวงศึกษาธิการ จะทำอย่างไรให้เด็กมีทักษะชีวิตอยู่ในโลกนี้อย่างมีความสุข กระทรวงสาธารณสุขมีสถานบริการสาธารณสุขให้คำปรึกษา การคุมกำเนิด การวางแผนมีบุตรก่อนแต่งงาน การจัดการสิ่งแวดล้อมป้องกันการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร จัดการสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสม ไม่ใช่ห่างโรงเรียน 200 เมตร มีแต่สิ่งยั่วยุทางเพศ” รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าว
นพ.โสภณ กล่าวว่า หากหญิงพิการต้องการตั้งครรภ์ เขามีสิทธิที่จะรับรู้ข้อมูลว่า ความพิการนั้นเป็น กรรมพันธุ์หรือไม่ เพื่อประกอบการตัดสินใจตั้งครรภ์ ได้รับการดูแลการตั้งครรภ์จนคลอดปลอดภัย ลูกได้รับการส่งเสริมพัฒนาการตามวัย เหมือนกรณีพ่อแม่ที่ติดเชื้อเอชไอวี เขามีสิทธิรู้ว่า มีวิธีป้องกันการติดเชื้อจากแม่สู่ลูก เชื้อถ่ายทอดถึงลูกได้ร้อยละ 5 แต่เคยมีคู่สามี-ภรรยาที่ติดเชื้อด้วยกันทั้งคู่ เมื่อได้รับข้อมูล ได้รับการปรึกษาเขาตัดสินใจตั้งครรภ์ภายใต้การดูแลของแพทย์ โดยกินยาต้านไวรัสเอชไอวีตามโปรแกรมของ สธ.เพื่อลดการติดเชื้อจากแม่สู่ลูก ผลปรากฏว่า ลูกคลอดออกมาปลอดภัย ไม่ติดเชื้อเอดส์
“การมีธรรมนูญอนามัยเจริญพันธุ์เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกัน รู้สิทธิตนเอง ได้ประชากรที่มีคุณภาพ ธรรมนูญเป็นการรับรองสิทธิของประชาชน บอกให้รับรู้ มีกลไกการทำงานนำไปสู่การมีคุณภาพชีวิตที่ดี” นพ.โสภณ กล่าว
นพ.โสภณ เมฆธน รองอธิบดีกรมอนามัย ให้สัมภาษณ์ว่า พระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติปี 2550 กำหนดให้มีธรรมนูญสุขภาพ 13 หัวข้อ กรมอนามัยได้แต่งตั้งคณะทำงานเพื่อยกร่างสาระสำคัญของธรรมนูญอนามัยการเจริญพันธุ์เพื่อเสนอให้ ครม.รับรอง เป็นธรรมนูญด้านสุขภาพที่ต้องการให้ประชาชนรับรู้ถึงสิทธิของตนเองด้านอนามัยการเจริญพันธุ์ เช่น การวางแผนครอบครัว การวางแผนมีลูก การป้องกันการแท้งไม่ปลอดภัย เพศศึกษา มะเร็งระบบสืบพันธุ์และเอชไอวี/เอดส์ ซึ่งผลการยกร่างของคณะทำงานมีความคืบหน้ามากแล้ว สาระสำคัญของธรรมนูญอนามัยเจริญพันธุ์คือ ต้องการให้คนไทยรู้ถึงสิทธิตนเอง ทุกคนได้รับบริการข้อมูล การบริการสาธารณสุข การช่วยเหลือสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อเป็นธรรมนูญที่ผ่านมติ ครม.ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องร่วมดำเนินการ ซึ่งคณะทำงานจะเร่งนำเสนอต่อคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติในเดือนธันวาคมปีนี้
“งานอนามัยเจริญพันธุ์เกี่ยวข้องกับหลายกระทรวง เช่น กระทรวงศึกษาธิการ จะทำอย่างไรให้เด็กมีทักษะชีวิตอยู่ในโลกนี้อย่างมีความสุข กระทรวงสาธารณสุขมีสถานบริการสาธารณสุขให้คำปรึกษา การคุมกำเนิด การวางแผนมีบุตรก่อนแต่งงาน การจัดการสิ่งแวดล้อมป้องกันการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร จัดการสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสม ไม่ใช่ห่างโรงเรียน 200 เมตร มีแต่สิ่งยั่วยุทางเพศ” รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าว
นพ.โสภณ กล่าวว่า หากหญิงพิการต้องการตั้งครรภ์ เขามีสิทธิที่จะรับรู้ข้อมูลว่า ความพิการนั้นเป็น กรรมพันธุ์หรือไม่ เพื่อประกอบการตัดสินใจตั้งครรภ์ ได้รับการดูแลการตั้งครรภ์จนคลอดปลอดภัย ลูกได้รับการส่งเสริมพัฒนาการตามวัย เหมือนกรณีพ่อแม่ที่ติดเชื้อเอชไอวี เขามีสิทธิรู้ว่า มีวิธีป้องกันการติดเชื้อจากแม่สู่ลูก เชื้อถ่ายทอดถึงลูกได้ร้อยละ 5 แต่เคยมีคู่สามี-ภรรยาที่ติดเชื้อด้วยกันทั้งคู่ เมื่อได้รับข้อมูล ได้รับการปรึกษาเขาตัดสินใจตั้งครรภ์ภายใต้การดูแลของแพทย์ โดยกินยาต้านไวรัสเอชไอวีตามโปรแกรมของ สธ.เพื่อลดการติดเชื้อจากแม่สู่ลูก ผลปรากฏว่า ลูกคลอดออกมาปลอดภัย ไม่ติดเชื้อเอดส์
“การมีธรรมนูญอนามัยเจริญพันธุ์เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกัน รู้สิทธิตนเอง ได้ประชากรที่มีคุณภาพ ธรรมนูญเป็นการรับรองสิทธิของประชาชน บอกให้รับรู้ มีกลไกการทำงานนำไปสู่การมีคุณภาพชีวิตที่ดี” นพ.โสภณ กล่าว
