สช.ขึ้นแบล็คลิสต์โรงเรียนพาณิชยการย่านฝั่งธน ติดตามพฤติกรรม 10 ปี หลังตร.บุกจับนักศึกษาตรวจฉี่สีม่วง ปลัด ศธ. ป้องสถานศึกษาแห่งนี้ไม่เคยมีประวัติเสื่อมเสีย ด้าน หัวหน้าศูนย์เสมารักษ์ แฉ โรงเรียนเพิ่งให้นักเรียนออกไป 1 ราย หลังพบเสพ-จำหน่าย
สืบเนื่องตำรวจบุกจับนักเรียนค้า และเสพยาบ้า จำนวน 14 ราย โรงเรียนพาณิชยการชื่อดังย่านธนบุรี และยังตรวจพบว่าฉี่สีม่วง ซึ่งก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบทราบว่าโรงเรียนแห่งนี้มีการลักลอบค้ายาบ้าและเสพยาบ้าเป็นจำนวนมาก
และเวลา 14.00 น. วันนี้(25 มิ.ย.) นางจรวยพร ธรณินทร์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมกับ นายสำรวม พฤกษ์เสถียร เลขาธิการสำนักงานส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ร่วมกันแถลงข่าว นางจรวยพร กล่าวว่า ก่อนหน้านี้สถานศึกษาแห่งนี้ไม่เคยมีประวัติเสียหายมาก่อน อย่างไรก็ตามเมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้น สช.จะขึ้นบัญชีโรงเรียนแห่งนี้ไว้ในแบล็คลิสต์ด้านยาเสพติด ติดตามดูพฤติกรรมอย่างน้อย 10 ปี
สำหรับนักเรียนที่ถูกจับฉี่สีม่วง สั่งให้โรงเรียนเชิญผู้ปกครองมารับทราบพฤติกรรมและทำทัณฑ์บน ทั้งนี้ ต้องให้ความเป็นธรรมแก่โรงเรียน เพราะจากการตรวจสอบแล้วพบว่าโรงเรียนแห่งนี้มีมาตรการป้องกัน เฝ้าระวัง และแก้ปัญหายาเสติดอยู่ในระดับปานกลาง จากทั้งหมด 4 ระดับ คือ ระดับ ก. มีระบบเฝ้าระวัง ป้องกัน แก้ไขที่เข้มแข็ง ระดับ ข. มีระบบเฝ้าระวัง ป้องกัน แก้ไขที่ดี ระดับ ค. มีระบบเฝ้าระวัง ป้องกันแก้ไจปานกลาง และระดับ ง. มีระบบเฝ้าระวัง ป้องกัน แก้ไขที่ต้องเสริมสร้างความเข้มแข็งเป็นกรณีพิเศษ
ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า แนวโน้มปัญหายาเสพติดในสถานศึกษาลดลงทุกปี สถานศึกษาส่วนใหญ่จะมีระบบเฝ้าระวังอยู่ในประเภท ก. ถึงร้อยละ 70 คิดเป็นจำนวน 22,482 โรง แต่ยอมรับว่ายังมีปัญหาเด็กใช้หรือเสพยาเสพติดอยู่ จากข้อมูลปี 2550 พบว่ามีกลุ่มที่เคยใช้ยาแต่เลิกแล้ว 1,531 คน ยังใช้ยาอยู่ 689 คน ติดยาแต่บำบัดหายแล้ว 550 คน และค้ายา 41 คน
นายสำรวม กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องให้ความเป็นธรรมแก่โรงเรียนด้วย เพราะโรงเรียนแห่งนี้มีนักเรียนสูงเกือบ 5 พันคน อีกอย่างนักเรียนของอาชีวะเอกชนส่วนใหญ่ จะเป็นเด็กที่เหลือมาจากอาชีวะของรัฐ และเด็กในช่วงวัย 16-18 ปี ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) อาจมีปัญหาเรื่องพฤติกรรมเยอะ แต่พอเขาขึ้นประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ปัญหาก็ทุเลาลง
นายสำรวจ กล่าวอีกว่า โรงเรียนเอกชนส่วนมากมีมาตรการป้องกัน และปราบปรามยาเสพติด ช่วงเปิดเทอมแรกๆ จะมีการตรวจปัสสาวะนักเรียน อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติผู้ปกครองต้องมีส่วนร่วมดูแลเด็กด้วย ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นความรับผิดชอบของโรงเรียน เพราะถือว่าได้จ่ายเงินให้กับโรงเรียนแล้ว
“น่าสังเกตก็คือนักเรียนที่ตรวจพบฉี่สีม่วงนั้นเป็นผู้หญิงถึง 11 คน จึงคิดว่ากลุ่มผู้ค้ายาน่าจะเบี่ยงเบนมาสู่กลุ่มผู้หญิงมากขึ้น หรือนักศึกษาชายไหวตัวทันจึงจับได้น้อยเหลือแต่นักศึกษาหญิง อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า โรงเรียนแห่งนี้มีปัญหาเรื่องยาเสพติดเพราะจับได้เป็นกลุ่มที่ติดยาแล้วไม่ใช่แค่ลอง”
นายสำรวม กล่าวว่า สช.ไม่ค่อยจะใช้มาตรการปิดสถานศึกษาที่มีปัญหากับเด็กทั้งโรงเรียน อย่างไรก็ตาม ในเบื้องต้น สช.ได้ทำหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษรตักเตือน และขึ้นแบล็คลิสต์โรงเรียนไว้แล้ว
นายอุดม บุตตะ หัวหน้าศูนย์เสมารักษ์ กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวว่า จากการลงพื้นที่ตรวจสอบร.ร.แห่งนี้ พบว่า มีสภาพแวดล้อมที่มีระดับปานกลาง แต่เนื่องจากร.ร.อาชีวะแห่งนี้มีนักเรียน เกือบ 5,000 คน จึงมีปัญหาในการตรวจสอบ ป้องกัน และป้องปรามได้ไม่เต็ม 100% และทราบมาว่าต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ทางโรงเรียนได้ให้นักศึกษารายหนึ่ง พ้นสภาพการจากการเป็นนักศึกษาหลังจากพบว่า นักศึกษาเสพและจำหน่าย
เมื่อถามว่าพื้นที่บริเวณโรงเรียนอยู่ในย่านพื้นที่สีแดง หรือไม่ นางจรวยพร กล่าวยอมรับว่า ใช่ ดังนั้น ผู้บริหารสถานศึกษา ต้องเฝ้าระวังเรื่องนี้มากขึ้นป้องกันไม่ให้นักเรียนเข้าไปยุ่งกับยาเสพติด
สืบเนื่องตำรวจบุกจับนักเรียนค้า และเสพยาบ้า จำนวน 14 ราย โรงเรียนพาณิชยการชื่อดังย่านธนบุรี และยังตรวจพบว่าฉี่สีม่วง ซึ่งก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบทราบว่าโรงเรียนแห่งนี้มีการลักลอบค้ายาบ้าและเสพยาบ้าเป็นจำนวนมาก
และเวลา 14.00 น. วันนี้(25 มิ.ย.) นางจรวยพร ธรณินทร์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมกับ นายสำรวม พฤกษ์เสถียร เลขาธิการสำนักงานส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ร่วมกันแถลงข่าว นางจรวยพร กล่าวว่า ก่อนหน้านี้สถานศึกษาแห่งนี้ไม่เคยมีประวัติเสียหายมาก่อน อย่างไรก็ตามเมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้น สช.จะขึ้นบัญชีโรงเรียนแห่งนี้ไว้ในแบล็คลิสต์ด้านยาเสพติด ติดตามดูพฤติกรรมอย่างน้อย 10 ปี
สำหรับนักเรียนที่ถูกจับฉี่สีม่วง สั่งให้โรงเรียนเชิญผู้ปกครองมารับทราบพฤติกรรมและทำทัณฑ์บน ทั้งนี้ ต้องให้ความเป็นธรรมแก่โรงเรียน เพราะจากการตรวจสอบแล้วพบว่าโรงเรียนแห่งนี้มีมาตรการป้องกัน เฝ้าระวัง และแก้ปัญหายาเสติดอยู่ในระดับปานกลาง จากทั้งหมด 4 ระดับ คือ ระดับ ก. มีระบบเฝ้าระวัง ป้องกัน แก้ไขที่เข้มแข็ง ระดับ ข. มีระบบเฝ้าระวัง ป้องกัน แก้ไขที่ดี ระดับ ค. มีระบบเฝ้าระวัง ป้องกันแก้ไจปานกลาง และระดับ ง. มีระบบเฝ้าระวัง ป้องกัน แก้ไขที่ต้องเสริมสร้างความเข้มแข็งเป็นกรณีพิเศษ
ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า แนวโน้มปัญหายาเสพติดในสถานศึกษาลดลงทุกปี สถานศึกษาส่วนใหญ่จะมีระบบเฝ้าระวังอยู่ในประเภท ก. ถึงร้อยละ 70 คิดเป็นจำนวน 22,482 โรง แต่ยอมรับว่ายังมีปัญหาเด็กใช้หรือเสพยาเสพติดอยู่ จากข้อมูลปี 2550 พบว่ามีกลุ่มที่เคยใช้ยาแต่เลิกแล้ว 1,531 คน ยังใช้ยาอยู่ 689 คน ติดยาแต่บำบัดหายแล้ว 550 คน และค้ายา 41 คน
นายสำรวม กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องให้ความเป็นธรรมแก่โรงเรียนด้วย เพราะโรงเรียนแห่งนี้มีนักเรียนสูงเกือบ 5 พันคน อีกอย่างนักเรียนของอาชีวะเอกชนส่วนใหญ่ จะเป็นเด็กที่เหลือมาจากอาชีวะของรัฐ และเด็กในช่วงวัย 16-18 ปี ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) อาจมีปัญหาเรื่องพฤติกรรมเยอะ แต่พอเขาขึ้นประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ปัญหาก็ทุเลาลง
นายสำรวจ กล่าวอีกว่า โรงเรียนเอกชนส่วนมากมีมาตรการป้องกัน และปราบปรามยาเสพติด ช่วงเปิดเทอมแรกๆ จะมีการตรวจปัสสาวะนักเรียน อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติผู้ปกครองต้องมีส่วนร่วมดูแลเด็กด้วย ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นความรับผิดชอบของโรงเรียน เพราะถือว่าได้จ่ายเงินให้กับโรงเรียนแล้ว
“น่าสังเกตก็คือนักเรียนที่ตรวจพบฉี่สีม่วงนั้นเป็นผู้หญิงถึง 11 คน จึงคิดว่ากลุ่มผู้ค้ายาน่าจะเบี่ยงเบนมาสู่กลุ่มผู้หญิงมากขึ้น หรือนักศึกษาชายไหวตัวทันจึงจับได้น้อยเหลือแต่นักศึกษาหญิง อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า โรงเรียนแห่งนี้มีปัญหาเรื่องยาเสพติดเพราะจับได้เป็นกลุ่มที่ติดยาแล้วไม่ใช่แค่ลอง”
นายสำรวม กล่าวว่า สช.ไม่ค่อยจะใช้มาตรการปิดสถานศึกษาที่มีปัญหากับเด็กทั้งโรงเรียน อย่างไรก็ตาม ในเบื้องต้น สช.ได้ทำหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษรตักเตือน และขึ้นแบล็คลิสต์โรงเรียนไว้แล้ว
นายอุดม บุตตะ หัวหน้าศูนย์เสมารักษ์ กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวว่า จากการลงพื้นที่ตรวจสอบร.ร.แห่งนี้ พบว่า มีสภาพแวดล้อมที่มีระดับปานกลาง แต่เนื่องจากร.ร.อาชีวะแห่งนี้มีนักเรียน เกือบ 5,000 คน จึงมีปัญหาในการตรวจสอบ ป้องกัน และป้องปรามได้ไม่เต็ม 100% และทราบมาว่าต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ทางโรงเรียนได้ให้นักศึกษารายหนึ่ง พ้นสภาพการจากการเป็นนักศึกษาหลังจากพบว่า นักศึกษาเสพและจำหน่าย
เมื่อถามว่าพื้นที่บริเวณโรงเรียนอยู่ในย่านพื้นที่สีแดง หรือไม่ นางจรวยพร กล่าวยอมรับว่า ใช่ ดังนั้น ผู้บริหารสถานศึกษา ต้องเฝ้าระวังเรื่องนี้มากขึ้นป้องกันไม่ให้นักเรียนเข้าไปยุ่งกับยาเสพติด
