xs
xsm
sm
md
lg

ชำแหละปัญหา “อ.นกเขา”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

รศ.มาลี พงศาวลี
การคุกคามทางเพศในรั้วสถาบันการศึกษานั้น ไม่ใช่ปัญหาใหม่ หากแต่เป็นสนิมที่เกาะกินสังคมมาช้านาน ทว่าติดตรงไม่มีเหยื่อกามคนใดกล้าออกมาให้ข้อมูลโต้งๆ ตรงๆ เอาเรื่องผู้กระทำผิด ส่งผลให้ “คนชั่ว” ยังคง “ลอยนวล” เชิดหน้าชูคออยู่ในแวดวงการศึกษาได้

อย่างไรก็ตาม หลังจากเกิดเหตุอาจารย์วิศวะ รั้วแม่โดม ก่อการฉาวบังคับลูกศิษย์สาว “อมนกเขาแลกเกรด” จนลูกศิษย์สาวเจ้าทุกข์ทนความอุบาทว์นี้ไม่ได้ จึงตัดสินใจเข้าแจ้งความดำเนินคดี ก็มีความตื่นตัวในเรื่องนี้อีกครั้ง โดยล่าสุด “โครงการสตรีและเยาวชนศึกษา” มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็ได้จัดให้มีเสวนาเรื่อง “การคุกคามทางเพศในสถาบันการศึกษา : ปัญหาและทางออก” ขึ้น

เผยมีหลาย นศ.หลาย ม.ดังโดนคุกคามทางเพศ
รศ.มาลี พงศาวลี
ประธานโครงการ “โครงการสตรีและเยาวชนศึกษา” ม.ธรรมศาสตร์ เปิดเผยว่า เท่าที่ทราบเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอย่างน้อย 2 หนในมหาวิทยาลัย และเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในสถาบันการศึกษาหลายแห่ง ไม่ใช่เฉพาะในธรรมศาสตร์เพียงแห่งเดียว และเมื่อเกิดเหตุขึ้นก็จะพูดร่ำลือถูกพูดถึงในระยะหนึ่ง แล้วเรื่องก็เงียบหายไป แต่คราวนี้ นศ.หญิงกล้าที่จะออกมาต่อสู้ จึงเป็นเรื่องที่สะเทือนสังคมพอสมควร

สำหรับกรณีแรกของ มธ.นั้น ก่อนหน้านี้ก็มีอาจารย์ มธ.คนหนึ่ง เป็นผู้ที่มีชื่อเสียงได้รับเชิญไปเป็นวิทยากรนอกมหาวิทยาลัยบ่อยๆ และบางครั้งก็ชวนลูกศิษย์ไปด้วย มีลูกศิษย์เคราะห์ร้ายรายหนึ่ง หลงเชื่อ และออกไปกับอาจารย์ที่หลอกว่าจะพาไปดูงานที่อาจารย์โฉดไปเป็นวิทยากร เมื่องานจบอาจารย์ก็พาไปรับประทานอาหาร โดยอาจารย์โฉดออกลายสั่งเบียร์มาดื่ม จากนั้นอาจารย์ก็ชวนนั่งรถไปชานเมือง สุดท้ายลูกศิษย์รายนี้ก็โดนข่มขืน ภายหลังก็มีความสัมพันธ์จนตั้งครรภ์โดยที่อาจารย์ต้นเรื่องก็เป็นฝ่ายบังคับให้ทำแท้งแต่นักศึกษาสาวไม่ยอม

แต่สุดท้ายเรื่องก็แดงขึ้นมาเมื่อทนายความของมูลนิธิผู้หญิงไปพบเด็กคนนี้และช่วยส่งเรื่องฟ้องศาลเรียกร้องความเป็นธรรม สุดท้ายศาลก็ได้ตัดสินให้อาจารย์ผู้ก่อเหตุรับเด็กเป็นบุตร นอกจากนี้รศ.มาลียังระบุด้วยว่า มีมหาวิทยาลัยดังๆ หลายแห่งที่มีเรื่องทำนองเช่นนี้ และมีการร้องเรียนต่อมูลนิธิผู้หญิงด้วย

เผยส่วนใหญ่โดนจากคนใกล้ตัว
ด้านจะเด็จ เชาวน์วิไล ตัวแทนจากมูลนิธิเพื่อนหญิง ระบุชัดว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเพราะการเหลื่อมล้ำทางอำนาจในสังคมระหว่างชายและหญิง กล่าวคือคนส่วนใหญ่มองว่าผู้หญิงที่ถูกข่มขืนเป็นผู้ก่อเรื่องเอง เช่นใส่เสื้อผ้าไม่เรียบร้อย ไปเดินที่เปลี่ยว หรือแม้กระทั่งมองว่าต้องการจะแบล็กเมล์ นี่คือความไม่เท่าเทียมกันในสังคม เพราะในความเป็นจริงแล้วจากสถิติของมูลนิธิเพื่อนหญิง ตัวเลขในปี 49 พบว่า 106 รายที่ถูกละเมิดทางเพศ ส่วนใหญ่เกิดจากคนใกล้ชิด คนรู้จัก เช่น พ่อ พ่อเลี้ยง ญาติ เพื่อน เพื่อนร่วมงาน ต้นเหตุที่เกิดจากการที่ผู้หญิงไปเดินที่เปลี่ยวมีเพียง 1 รายเท่านั้น จึงเห็นได้ว่า จริงๆ แล้วไม่ใช่เพราะผู้หญิงแต่งตัวไม่เรียบร้อย เปิดโอกาสให้คนร้ายโดยการไปเดินในที่เปลี่ยว แต่ผู้หญิงเป็นฝ่ายถูกกระทำต่างหาก
ทั้งนี้ จากการตัดข่าวจากหนังสือพิมพ์หัวสี 5 ฉบับในปี 49 พบว่า เกิดเหตุล่วงละเมิดทางเพศรวม 324 กรณี แบ่งเป็นข่มขืนฆ่า ข่มขืน พยายามข่มขืน รุมโทรม โดยสถานที่เกิดเหตุมีทั้งในบ้าน ในบ้านญาติ โรงเรียน วัด โรงแรม แสดงให้เห็นว่าเหตุการณ์ร้ายแบบนี้เกิดได้ทุกที่ทุกเวลา โดย 180 รายผู้เสียหายเป็นนักเรียน นักศึกษา
“ผมเสนอทางแก้ที่เราควรทำอย่างเร่งด่วน คือ การปรับทัศนคติของสังคมไทย ต้องทำให้ได้ การสอนในโรงเรียนทุกวันนี้ยังคงสอนว่าผู้ชายแข็งแรงกว่าผู้หญิง ผู้หญิงอ่อนแอกว่าผู้ชาย สื่อเองก็ต้องให้ความร่วมมือ ละครน้ำเน่า สื่อโฆษณา ต้องร่วมมือลดภาพบทบาทของผู้หญิงที่ด้อยกว่าผู้ชาย ลดภาพความรุนแรงที่ผู้หญิงเป็นผู้ถูกกระทำ เราต้องปรับทัศนคติและสร้างวัฒนธรรมใหม่” จะเด็จ ให้ความเห็น

เสนอตั้ง มธ.เป็นศูนย์รับเรื่องคุกคามเพศในสถาบัน
ตัวแทนจากมูลนิธิผู้หญิงได้เสนออีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจ คือ ในเมื่อ ม.ธรรมศาสตร์ เป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำที่มีความรู้และมีศักยภาพพร้อม ก็น่าจะเปิดเป็นศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์เกี่ยวกับการคุกคามทางเพศในสถาบัน

“ธรรมศาสตร์มีคณะสังคมสงเคราะห์ มีโรงพยาบาล มีศูนย์พึ่งได้ มีองค์ความรู้ มีคณาจารย์ผู้เชี่ยวชาญ มีผู้ที่พร้อมให้คำปรึกษา ก็น่าจะนำศักยภาพตรงนี้มาตั้งเป็นศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ไปเลย และต้องไม่ลืมว่า เราจำเป็นต้องปรับทัศนคติสังคมอย่างเร่งด่วนด้วย” จะเด็จ กล่าว

ด้านอนุธีร์ เดชเทวพร อุปนายกองค์การ นศ.มธ.ตัวแทนความคิดเห็นจากนักศึกษารุ่นใหม่ กลับมองว่า เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของการให้อำนาจที่มากเกินไปที่มหาวิทยาลัยให้แก่ผู้เป็นอาจารย์ นั่นคือ อำนาจในการให้เกรด ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่ชนิดคอขาดบาดตายของคนเป็นลูกศิษย์

“เรื่องคุณธรรมจริยธรรมเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล จะรู้เฉพาะตัวว่ามีหรือไม่มี และไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะคุมตัวเองได้หรือไม่ มหาวิทยาลัยควรเปิดโอกาสให้ตรวจสอบอาจารย์ในการให้เกรด การให้คะแนนของอาจารย์ได้ทุกวิชา แม้จะเสียเวลาไปบ้าง ก็เป็นการเสียเวลาที่คุ้มค่า ดีกว่าวัวหายล้อมคอก”

อนุธีร์ เสนออีกหนึ่งประเด็นว่าควรแก้ไขระบบโครงการการศึกษาไทย ที่สร้างแรงกดทับให้แก่เยาวชน ทั้งในระดับมัธยมที่จำต้องเคร่งเครียดในการสอบเข้ามหาวิทยาลัย และเมื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัย ก็จำเป็นต้องทำทุกอย่างทุกทางที่จะรักษาสภาพนั้นไว้ให้ได้จนเรียนจบ เป็นการเปิดโอกาสทางอำนาจให้ผู้เป็นอาจารย์ที่สามารถจะชี้เป็นชี้ตายให้ลูกศิษย์ทำอะไรได้ตามต้องการเพื่อแลกกับสถานภาพนักศึกษาในมหาวิทยาลัย
จะเด็จ เชาวน์วิไล
อนุธีร์ เดชเทวพร
กำลังโหลดความคิดเห็น