สพฐ.แจง หนังสือเรียนปี ’51 หากใช้ตามกำหนด ปัญหานักเรียนแบกกระเป๋าหลังแอ่นไม่มีแน่นอน
คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้แจ้งแนวปฏิบัติในการเลือกใช้สื่อการเรียนรู้ในสถานศึกษา ปีการศึกษา 2551 ให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา(สพท.)ทั่วประเทศและให้ประสานแจ้งสถานศึกษาให้ทราบถึงรายละเอียดของหนังสือเรียน ซึ่งเปิดโอกาสให้สถานศึกษาได้เลือกใช้หนังสือเรียนทั้งฉบับของกระทรวงศึกษาธิการ และฉบับของสำนักพิมพ์เอกชนที่ได้ผ่านการตรวจประเมินคุณภาพทางวิชาการจากกระทรวงศึกษาธิการ หรือที่ผ่านการประกันคุณภาพโดยผู้ผลิตแล้ว ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการได้กำหนดลักษณะของหนังสือเรียนที่ให้นักเรียนมีไว้ใช้ประจำตัว
ประกอบด้วย หนังสือเรียนใน 5 กลุ่มสาระการเรียนรู้ คือ ภาษาไทย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม และภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ) และหนังสือแบบฝึกหัดซึ่งมีประจำตัวได้เฉพาะ ภาษาไทย คณิตศาสตร์ และภาษาอังกฤษ ระดับประถมศึกษาเท่านั้น ส่วนหนังสือที่ไม่ได้กำหนดให้ใช้ประจำตัว สถานศึกษาควรจัดหามาให้นักเรียนได้ใช้ร่วมกันเป็นกลุ่มเพื่อการศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม โดย สพฐ.ได้จัดทำบัญชีรายชื่อสื่อการเรียนรู้ให้สถานศึกษาพิจารณาเลือกใช้ซึ่งเผยแพร่ทางเว็บไซต์ http://academic.obec.go.th และ http://www.obec.go.th และหากสถานศึกษากำหนดให้นักเรียนมีหนังสือไว้ใช้ประจำตัวเท่าที่ สพฐ. กำหนด นักเรียนก็จะไม่ต้องรับภาระกระเป๋าหนักอีกต่อไป
“ที่ผู้ปกครองบ่นว่าตำราแพงนั้น มีข้อสังเกตว่าสถานศึกษาหลายแห่งใช้หนังสือประเภทสำเร็จรูปที่มีแบบฝึกหัดให้นักเรียนทำรวมอยู่ในเล่ม ทำให้หนังสือหนา ราคาแพง และส่งผลให้เมื่อพี่ใช้แล้วน้องไม่สามารถใช้ต่อได้ หนังสือลักษณะนี้ สพฐ.มิได้กำหนดให้นักเรียน มีไว้ใช้ประจำตัว แต่หากครูผู้สอนประสงค์จะซื้อใช้เองเพื่อประกอบการจัดการเรียนการสอน หรือผู้ปกครองรายใดที่สมัครใจจะซื้อให้บุตรหลานได้อ่านได้ฝึกทักษะเพิ่มเติมทำได้ อย่างไรก็ตาม อยากทำความเข้าใจกับผู้บริหาร ครู ผู้ปกครอง และนักเรียน ได้ทราบว่า การเรียนรู้ในยุคปัจจุบันนักเรียนสามารถศึกษาหาความรู้ได้จากสื่อและแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย หนังสือจึงเป็นสื่อการเรียนรู้เพียงรูปแบบหนึ่งเท่านั้น”
คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้แจ้งแนวปฏิบัติในการเลือกใช้สื่อการเรียนรู้ในสถานศึกษา ปีการศึกษา 2551 ให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา(สพท.)ทั่วประเทศและให้ประสานแจ้งสถานศึกษาให้ทราบถึงรายละเอียดของหนังสือเรียน ซึ่งเปิดโอกาสให้สถานศึกษาได้เลือกใช้หนังสือเรียนทั้งฉบับของกระทรวงศึกษาธิการ และฉบับของสำนักพิมพ์เอกชนที่ได้ผ่านการตรวจประเมินคุณภาพทางวิชาการจากกระทรวงศึกษาธิการ หรือที่ผ่านการประกันคุณภาพโดยผู้ผลิตแล้ว ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการได้กำหนดลักษณะของหนังสือเรียนที่ให้นักเรียนมีไว้ใช้ประจำตัว
ประกอบด้วย หนังสือเรียนใน 5 กลุ่มสาระการเรียนรู้ คือ ภาษาไทย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม และภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ) และหนังสือแบบฝึกหัดซึ่งมีประจำตัวได้เฉพาะ ภาษาไทย คณิตศาสตร์ และภาษาอังกฤษ ระดับประถมศึกษาเท่านั้น ส่วนหนังสือที่ไม่ได้กำหนดให้ใช้ประจำตัว สถานศึกษาควรจัดหามาให้นักเรียนได้ใช้ร่วมกันเป็นกลุ่มเพื่อการศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม โดย สพฐ.ได้จัดทำบัญชีรายชื่อสื่อการเรียนรู้ให้สถานศึกษาพิจารณาเลือกใช้ซึ่งเผยแพร่ทางเว็บไซต์ http://academic.obec.go.th และ http://www.obec.go.th และหากสถานศึกษากำหนดให้นักเรียนมีหนังสือไว้ใช้ประจำตัวเท่าที่ สพฐ. กำหนด นักเรียนก็จะไม่ต้องรับภาระกระเป๋าหนักอีกต่อไป
“ที่ผู้ปกครองบ่นว่าตำราแพงนั้น มีข้อสังเกตว่าสถานศึกษาหลายแห่งใช้หนังสือประเภทสำเร็จรูปที่มีแบบฝึกหัดให้นักเรียนทำรวมอยู่ในเล่ม ทำให้หนังสือหนา ราคาแพง และส่งผลให้เมื่อพี่ใช้แล้วน้องไม่สามารถใช้ต่อได้ หนังสือลักษณะนี้ สพฐ.มิได้กำหนดให้นักเรียน มีไว้ใช้ประจำตัว แต่หากครูผู้สอนประสงค์จะซื้อใช้เองเพื่อประกอบการจัดการเรียนการสอน หรือผู้ปกครองรายใดที่สมัครใจจะซื้อให้บุตรหลานได้อ่านได้ฝึกทักษะเพิ่มเติมทำได้ อย่างไรก็ตาม อยากทำความเข้าใจกับผู้บริหาร ครู ผู้ปกครอง และนักเรียน ได้ทราบว่า การเรียนรู้ในยุคปัจจุบันนักเรียนสามารถศึกษาหาความรู้ได้จากสื่อและแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย หนังสือจึงเป็นสื่อการเรียนรู้เพียงรูปแบบหนึ่งเท่านั้น”
