เตรียมคลอดคณะกรรมการกลางคุมวิจัยสเต็มเซลล์ ต้น พ.ค.นี้ ทำหน้าที่อนุมัติและควบคุมขั้นตอนการวิจัยสเต็มเซลล์ เนื้อเยื่อมนุษย์และสัตว์ แพทยสภาพร้อมออกข้อบังคับเป็นมาตรฐานเดียวกัน กำกับจริยธรรม ความปลอดภัย หมอจุฬาฯ หวั่นไทยเอาอย่างต่างประเทศ เก็บสเต็มเซลล์อุตลุดจากฟันน้ำนม เซลล์ไขมัน เลือดประจำเดือน หากไม่เร่งคุมธุรกิจสเต็มเซลล์
วันนี้ (22 เม.ย.) ที่ห้องประชุมเฉลิม พรมมาส ตึกอปร รพ.จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา กล่าวในงานการประชุมวิชาการเรื่อง “Stem Cell : From Basic to Clinical Application” ว่า ขณะนี้มีแพทย์และสถานพยาบาลต่างๆ ศึกษาวิจัย การใช้สเต็มเซลล์ หรือ เซลล์ต้นกำเนิด มารักษาโรคจำนวนมาก แต่ปัญหาส่วนใหญ่มักเป็นการ โฆษณา อวดอ้างใช้สเต็มเซลล์เพื่อการรักษาเกินจริง และเก็บเงินในราคาแพง ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นเกิดจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ยังตั้งคณะกรรมการควบคุมการวิจัยรักษาด้วยสเต็มเซลล์แห่งชาติที่ต้องมีหน้าที่ควบคุมไม่เสร็จ จึงทำให้เกิดปัญหาเหล่านี้ขึ้น โดยในอนาคตเมื่อมีคณะกรรมการจะมีการกำกับนโยบายให้ไปในทิศทางเดียวกันได้
“ขณะนี้ไม่มีการควบคุมนโยบายและวางมาตรการการรักษาด้วยสเต็มเซลล์ ทำให้แพทย์ที่ค้นพบวิธีการรักษาใหม่ๆ ก็แถลงข่าว เอาหมอออกมาพูด ทำให้ประชาชนเชื่อถือ แต่เป็นการโฆษณาสถาบันตัวเอง ซึ่งแพทย์ต้องระมัดระวังในการเปิดเผยข้อมูล เมื่อค้นพบการรักษาใหม่ๆ ควรเขียนลงวารสารต่างๆ จึงต้องผ่านการประชุมวิชาการทางการแพทย์ก่อน เพื่อเป็นการคัดกรองเรื่องความปลอดภัย เพราะต้องให้แพทย์เห็นไปในทางเดียวกันว่าเป็นวิธีการรักษาที่ได้มาตรฐาน ซึ่งคงทำได้ในอนาคตเมื่อมีคณะกรรมการกลางแล้ว” นพ.สมศักดิ์ กล่าว
นพ.สมศักดิ์ กล่าวต่อว่า การศึกษาสเต็มเซลล์เหล่านี้ควรอยู่ภายใต้หลักเกณฑ์ หรือข้อบังคับเดียวกัน หลังจากมีคณะกรรมการ แพทยสภาจะสามารถออกข้อบังคับ เพื่อควบคุมงานวิจัยให้มีคุณภาพมีความปลอดภัย และเป็นไปตามมาตรฐานจริยธรรมของวิชาชีพ เช่น การวิจัยต้องมีคณะกรรมการอย่างไร ผู้ทำการวิจัยมีคุณสมบัติอย่างไร เครื่องมือที่นำมาใช้ต้องมีมาตรฐานอย่างไร สถานที่ต้องได้มาตรฐานอย่างไร รวมถึงผู้ป่วยที่รับการรักษาในโครงการวิจัยสเต็มเซลล์ ควรจะได้รับรู้ข้อมูลทางการรักษาอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา และไม่ควรเก็บค่าใช้จ่ายจากผู้ป่วย เพราะโครงการศึกษาวิจัยต่างๆ จะมีกองทุนคอยช่วยเหลืออยู่แล้ว
“ประชาชนปัจจุบันเก็บสเต็มเซลล์โดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเอาไปทำอะไร แต่คิดเพียงว่าเผื่อได้ใช้ ซึ่งต้องเสียเงินไปจำนวนมาก เช่น แถวถนนพญาไท มีการขึ้นป้ายขนาดใหญ่ว่าเก็บสเต็มเซลล์ ซึ่งหลอกลวงทั้งนั้น แต่เรื่องนี้แพทยสภาไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะการเก็บสเต็มเซลล์ เป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ได้เป็นการประกอบวิชาชีพที่ผิดจริยธรรม ต่อเมื่อนำมาใช้กับผู้ป่วยแล้วเกิดผลกระทบเท่านั้น แพทยสภาถึงจะควบคุมได้ จึงจำเป็นต้องมีคณะกรรมการเพื่อให้แพทยสภาสามารถออกข้อบังคับได้ให้เป็นมาตรฐานได้” นพ.สมศักดิ์ กล่าว
ด้าน ภญ.วีรวรรณ แตงแก้ว รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวว่า ปัจจุบันมีคณะกรรมการพิจารณาการศึกษาวิจัยในคน กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เป็นผู้ดูแลอนุมัติการวิจัยเซลล์ต้นกำเนิด ส่วนคณะกรรมการกลาง หรือคณะกรรมการวิชาการด้านเซลล์ต้นกำเนิด ขณะนี้จัดหาตัวบุคคลเสร็จแล้ว โดยจะมีคณะกรรมการทั้งหมดประมาณ 10 คน ส่วนเรื่องอำนาจหน้าที่อยู่ระหว่างการร่างอำนาจหน้าที่ คาดว่า เดือนพฤษภาคมจะแล้วเสร็จ
“เรื่องนี้ล่าช้ามา 2 ปี แล้ว แต่ปัญหาที่ล่าช้า เพราะมีการถกเถียงกันเรื่องอำนาจหน้าที่ เนื่องจากเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน อาทิ อย.แพทยสภา กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กรมการแพทย์ สภาวิชาชีพ และมีเปลี่ยนตัวผู้บริหารบ่อย ทำให้การทำงานไม่ต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ อย.ได้ร่างแนวทาง/หลักเกณฑ์ การควบคุมกำกับดูแล เซลล์เนื้อเยื่อ และผลิตภัณฑ์จากเซลล์และเนื้อเยื่อมนุษย์หรือสัตว์ เสร็จแล้ว เพียงแต่รอให้คณะทำงานเห็นชอบ และออกเป็นประกาศต่อไป โดยจะมีผลควบคุมขั้นตอนการวิจัยสเต็มเซลล์ เนื้อเยื่อมนุษย์และสัตว์ ซึ่งมีการตีความแล้วว่า สเต็มเซลล์ เป็นยา เพราะใช้เพื่อการบำบัด บรรเทา รักษา หรือ นำเข้าเพื่อการวิจัย ต้องยื่นขออนุมัติต่อ อย.ตามที่คณะกรรมการเป็นผู้กำหนด” ภญ.วีรวรรณ กล่าว
นพ.สรภพ เกียรติพงษ์สาร อาจารย์ด้านสูตินรีเวช คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า ในเว็บไซต์ต่างประเทศมีการโฆษณาจัดเก็บเซลล์ต้นกำเนิดแพร่หลายมากขึ้น จากเดิมที่เก็บเฉพาะเลือด สายสะดือ เปลี่ยนมาเก็บเซลล์จากฟันน้ำนม เซลล์ไขมัน รวมทั้งเลือดประจำเดือน โดยให้บริษัทเอกชนเป็นผู้จัดเก็บดำเนินการในเชิงธุรกิจซึ่งผู้ใช้บริการจะมีความมั่นใจได้อย่างไร ว่าบริษัทจัดเก็บอย่างสะอาดปลอดภัย และเซลล์ที่เก็บไว้ ในอนาคตจะมีคุณภาพและสามารถนำไปใช้ได้จริง สำหรับในประเทศไทย ถ้าไม่มีหน่วยงานเร่งแก้ไขควบคุม และปล่อยให้ดำเนินการเชิงธุรกิจมากขึ้น ซึ่งหาข้อมูลจากเว็บไซต์กูเกิล 100% จะพบว่ามีแต่ประสบการณ์ร้ายๆ จากการใช้สเต็มเซลล์ทั้งสิ้น