หมอใหญ่กรมการแพทย์ชี้ภาวะโลกร้อนทำอันตรายต่อผิวหนังโดยไม่รู้ตัว หากโดนแดดมากอาจทำให้เกิดรอยไหม้ ยิ่งสะสมยิ่งเกิดริ้วรอย เหี่ยวย่น ร้ายสุดถึงขั้นเป็นมะเร็งผิวหนัง
นายแพทย์เรวัต วิศรุตเวช อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวถึงภาวะโลกร้อนซึ่งเป็นปัญหาที่ทั่วโลกกำลังประสบอยู่ว่า ภาวะโลกร้อนทำให้รังสี UVA และ UVB จากแสงแดดส่องลงมามากกว่าปกติ โดยรังสี UVA มีอนุภาคสูงในการทำลายชั้นผิวหนัง ทำให้เกิดผิวคล้ำเสียถาวร เนื่องจากจะไปทำลายคอลลาเจนจนทำให้เกิดริ้วรอยและอาจเป็นมะเร็งผิวหนังได้หากสะสมในปริมาณมาก
ส่วนรังสี UVB จะมีพลังงานน้อยกว่า UVA จึงไม่เข้าไปทำลายผิวหนังชั้นใน แต่สามารถทำให้เกิดผิวหนังเกรียมแดดและผิวคล้ำหลายวัน เกิดริ้วรอยบนผิวหนังและอาจทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้ด้วย ในปัจจุบันพบว่าคนไทยเป็นโรคผิวหนังไหม้จากแดดไม่มากนัก แต่ผิวที่ไหม้จากการถูกแสงแดดจะเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นไฝได้ และบางส่วนเมื่อเวลาผ่านไปไฝที่เป็นปกติจะเริ่มกระจายออกมาจากฐานไฝ เกิดการแผ่ลงไปในชั้นผิวหนังของร่างกายจนอาจกลายเป็นโรคมะเร็งเม็ดสีของผิวหนัง ซึ่งรักษาได้ยากที่สุดและมีอัตราการเสียชีวิตสูง
แต่เนื่องจากคนไทยมีผิวหนังสีเข้มจากการมีเม็ดสีเมลานิน ทำให้เป็นโรคมะเร็งผิวหนังไม่สูงนักแต่ก็พบได้เสมอๆ จึงต้องเฝ้าระวัง โดยคนไทยบางส่วนมีพฤติกรรมรับประทานยาต้มยาหม้อที่ผสมสารหนู ทำให้เร่งการเกิดมะเร็งผิวหนังมากขึ้นในคนที่โดนแสงแดดเป็นเวลานานเป็นประจำ
นอกจากนี้ รังสีอัลตราไวโอเลตจากแสงอาทิตย์ยังทำให้เกิดโรคผิวหนังจากความร้อน เช่น ผด ผื่นคัน ผิวไหม้แดด ผิวหนังเหี่ยวย่น โรคตาต้อกระจกและต้อเนื้อซึ่งเกิดกับชาวนาชาวสวนมากกว่าคนในเมือง เพราะต้องเจอแสงแดดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ทั้งนี้ ภาวะโลกร้อนอาจทำให้หลายเขตในโลกที่เคยมีอากาศหนาวกลับอบอุ่นและเกิดมีแมลง ยุง เหมือนในประเทศเขตร้อน ทำให้มีผู้ป่วยโรคผิวหนังจากการโดนกัดเป็นผื่นแผลหรือเกิดโรคติดต่อสูงขึ้น โดยแมลงและยุงอาจนำเชื้อโรคชนิดใหม่ๆ หรือก่อโรคทางผิวหนังมากขึ้นกว่าเดิม
ดังนั้น ควรมีความตื่นตัวในเรื่องภาวะโลกร้อนและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับสุขภาพ ควรสวมใส่เสื้อผ้าที่หลวมใส่สบายระบายเหงื่อได้ดี ใช้ครีมกันแดดเพื่อป้องกันไม่ให้ผิวถูกแสงแดดมากเกินไป ซึ่งค่า SPF มาตรฐานสำหรับคนไทยควรจะอยู่ที่ 15 เนื่องจากรังสี UVB จะมีอยู่ในแสงแดดตั้งแต่เวลา 10.00-16.00 น.เป็นเวลา 6 ชั่วโมง ดังนั้นครีมกันแดดที่ดีที่สุดควรจะมีอานุภาพในการป้องกันได้นานถึง 6 ชั่วโมง และจะต้องเป็นครีมกันแดดที่เหมาะกับ ทุกสภาวะด้วย ส่วนค่า PA+++ จะกันความคล้ำและอาการผิวแดงได้มากกว่า PA+
ทั้งนี้ การทาครีมกันแดดควรทาผิวปริมาณ 2 มิลลิกรัมต่อตารางเซนติเมตร หรือประมาณ 1 ข้อนิ้วชี้ทาได้ทั่วบริเวณใบหน้า สำหรับความถี่ในการทาครีมกันแดดคนผิวขาวควรจะทาครีมกันแดดทุกๆ 2 ชั่วโมง ดังนั้น ภายในหนึ่งวันจะต้องทาครีมกันแดดประมาณ 2-3 ครั้ง โดยเฉพาะในช่วงที่มีปริมาณรังสี UV มากที่สุด