ต๊อก...แต๊ก..ต๊อก...แต๊ก..ต๊อก...แต๊ก.....เสียงที่ดังมาเป็นจังหวะ ท่ามกลางลมหนาวที่โชยมาเป็นระยะๆ แม้จะมีแดดจ้าในยามบ่ายของสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ ทำให้เด็กเล็ก 3-4 คน ที่วิ่งเล่นอยู่ในลานวัดป่าธรรมนิเทศก์วราราม หมู่ 9 ต.ดอนแรด อ.รัตนบุรี จ.สุรินทร์ หยุดเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ พร้อมทั้งตะโกนบอกกันอย่างดีใจว่าฝูงควายของพวกเขาอยู่ในทามใกล้ๆ นี่เอง
“คนอื่นฟังเสียง อาจได้ยิน ต๊อก...แต๊ก... เหมือนกันหมด แต่คนที่ทุ่งกุลาร้องไห้ เกิดและโตมาคู่กับวัวควายพอได้ยินเสียงก็จะแยกออกทันทีว่าเป็นเสียงเกราะที่ห้อยคอวัว หรือควายตัวใด ซึ่งแม้จะใช้เหล็ก, ไม้ หรือพลาสติก เป็นวัสดุเหมือนกัน แต่เสียงจะไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับหลายๆ ปัจจัย เช่น คุณภาพไม้ อายุไม้ ชนิดของไม้ เปรียบเสมือนเครื่องดนตรีที่ให้โน้ตเพลงต่างกัน” บุญมี โสภัง อดีตแกนนำม็อบชาวนาอีสาน ผู้ผันตัวเองมาร่วมงานกับทีมวิจัยชาวบ้านดอนแรด อธิบายถึงรายละเอียด
คนสมัยก่อนเลี้ยงวัว หรือ ควายกันเป็นฝูง ราวๆ ครอบครัวละ 10-50 ตัว บางช่วงจะปล่อยวัวควายลงทาม (ริมฝั่งน้ำที่มีน้ำท่วมถึงเป็นครั้งคราว) โดยตัดสะพาย ประมาณ 3 เดือน พอปล่อยไป 4-5 วัน เจ้าของก็จะติดตามดูแลว่าควายของตนมุ่งหน้าไปทางไหนอย่างไร หรือบางทีก็ผลัดกันกับเพื่อนบ้านซึ่งวิธีการที่จะรู้ว่าวัวควายของตนอยู่ที่ใด ก็คือ ฟังจากเสียงเกราะ หรือกระดิ่งที่ห้อยคอ และเกิดเสียงเวลาวัวควายเคลื่อนไหวนั่นเองส่วนในช่วงกลางคืนที่ควายนอนพักผ่อน มักจะมียุง แมลงรบกวนจึงมักพบว่าควายทามนอนแช่ตัวอยู่ในขี้เลนรวมกันเป็นฝูงเป็นการช่วยป้องกันยุงหรือแมลงกัดต่อย
แต่ในระยะหลัง ตั้งแต่ปี 2534-2536 รถไถนาแบบเดินตาม ได้รุกเข้าสู่ชุมชนวัวควายจึงหายไปจากสังคมชาวทุ่งกุลาร้องไห้เรื่อยๆ ส่วนใหญ่จะขายให้ “นายฮ้อย” (พ่อค้าวัว-ควาย ที่มีวิถีชีวิตคลุกคลีกับวัวควายอย่างใกล้ชิด เพราะเวลาจะขายวัวหรือควาย ต้องไล่ต้อนเป็นฝูงผ่านป่า และหมู่บ้านหลายๆ แห่งจนถึงจุดหมาย และระหว่างทางก็จะแวะซื้อขายกับชาวบ้านในละแวกนั้นๆ ไปด้วย) ในราคาถูกแบบยกคลอก เพื่อเอาเงินไปซื้อรถไถนา
สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้เด็กรุ่นใหม่ไม่ได้เลี้ยงควายหลังจากเรียนจบพวกเขาจึงมุ่งหน้าเข้าสู่โรงงาน และสร้างครอบครัวในเมืองหลวง พอมีลูกก็หอบลูกมาให้พ่อแม่ที่อยู่ทางบ้านเลี้ยงดูตัวเองเดินทางกลับไปเป็นลูกจ้างทำงานต่อ ช่องว่างความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวและสังคมขยายห่างยิ่งขึ้นและอาชีพพ่อค้าวัวควาย ก็จะถูกเรียกอย่างล้อเลียนว่า “นายฮ้อย 5 นาที” แค่ต้อนขึ้นรถไปตกลงซื้อขายกันในตลาดเท่านั้น ไม่ต้องเลี้ยงดูระหว่างทางหรือรอนแรมเป็นระยะเวลาหลายๆ เดือนเหมือนก่อน
“ขณะเดียวกัน การพัฒนาของรัฐที่เข้ามาตั้งแต่ปี 2514 โดยประกาศให้ทุ่งกุลาร้องไห้ ที่อยู่ในเขต 5 จังหวัด ประกอบด้วย ร้อยเอ็ด สุรินทร์ ศรีสะเกษ มหาสารคาม และ ยโสธร เป็นพื้นที่ยากจนต้องได้รับการพัฒนาเป็นการเฉพาะจนมีการดำเนินการอย่างจริงจังภายใต้โครงการพัฒนาทุ่งกุลาร้องไห้ ช่วงปี 2524-2534 ก็ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงมากมาย ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมวัฒนธรรม เพราะเป็นการพัฒนาที่คิดริเริ่มจากคนข้างนอกมีแนวคิดมาจากกลุ่มประเทศตะวันตกตามกระแสโลกาภิวัฒน์คนข้างในชุมชนแค่ทำตามนโยบายหรือกระแสการพัฒนา” บุญมี กล่าว
กระทั่งต่อมา เมื่อมีหน่วยงานต่างๆ เข้ามาในพื้นที่ เช่น ศูนย์ประสานงานวิจัยเพื่อท้องถิ่นทุ่งกุลาร้องไห้ มูลนิธิประสานความร่วมมือพัฒนาทุ่งกุลาร้องไห้ (GRID FOUNDATION) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ฝ่ายวิจัยเพื่อท้องถิ่นชาวบ้านจึงตื่นตัว และคิดทำวิจัย เพื่อค้นหารากเหง้าของตนเองและเกิดโครงการชุดวิจัย “การจัดการพื้นที่ทามลุ่มน้ำมูลตอนกลางแบบบูรณาการโดยองค์กรชุมชน” ขึ้นโดยมีจุดประสงค์ เพื่อพยายามสร้างการเรียนรู้ของคนในพื้นที่ทามวิถีชีวิตของคนลุ่มน้ำกับความสัมพันธ์กับพื้นที่ทามและสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง แนวทางข้างหน้าชุมชนจะอยู่ร่วมจัดการกับทามอย่างไร และถึงขณะนี้มีโครงการที่กำลังดำเนินการ 10โครงการด้วยกัน ซึ่งในส่วนของ ต.ดอนแรดเอง ก็ทำ 1 โครงการ คือโครงการวิจัย “ฟื้นฟูวิถีชีวิตควายทาม”
และเพื่อให้โครงการนี้บูรณาการยิ่งขึ้นจึงมีการเปิดโรงเรียนเตรียมนายฮ้อยทุ่งกุลาร้องไห้ขึ้น เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551 บริเวณหน้าวัดป่าธรรมนิเทศก์วรารามหรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่าวัดป่าโนนยาง โดยมีกลุ่มเด็กและเยาวชนทั้งในหมู่บ้าน และต่างถิ่น มากกว่า 10 คนเข้ามาขอสมัครเป็นศิษย์รุ่นบุกเบิก
บุญมี ผู้เพิ่มบทบาทเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนเตรียมนายฮ้อย แบบใหม่ๆ หมาดๆ เล่าว่า บทบาทของนายฮ้อย ไม่ได้มีแค่การซื้อขายวัวควายเท่านั้นแต่ยังต้องเป็นคนมีคุณธรรม มีปฏิภาณไหวพริบที่ดี พูดเสียงดังฟังชัดสามารถดูแลรักษาวัวควาย และทรัพยากรของตนเองได้ เช่น พื้นที่ทามจะเลี้ยงวัวควายได้อย่างไร โดยไม่มีปัญหาเรื่องอาหารสัตว์ที่เลี้ยงที่ชื้นแฉะจะแก้ไขได้ไหมควรใช้การรักษาโรคแบบดั้งเดิมหรือสมัยใหม่ เมื่อสัตว์เลี้ยงเกิดโรคขึ้น รวมถึงวิธีแลกเปลี่ยนซื้อขาย และการคัดเลือกพันธุ์-ลักษณะวัวควายที่ดีเป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของ “มูลมัง” ซึ่งเป็นภูมิปัญญาพื้นบ้านของคนในแถบทุ่งกุลาร้องไห้ในการรักษาและดูแลมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษ ไม่ว่าจะเป็นเงินทอง ไร่นาหรือวัวควาย โดยถ้าเป็นวัวควายชุดแรกที่ได้จากพ่อแม่เมื่อจะออกเรือนหากตายลงก็จะเก็บเขาวัวเขาควายนั้นไว้บนยุ้งฉาง เพื่อแสดงถึงความเคารพและเป็นเครื่องเตือนใจให้นึกถึงการก่อร่างสร้างครอบครัวในช่วงที่ผ่านมา
“โรงเรียนเตรียมนายฮ้อย จะมีทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติโดยเน้นให้นักเรียนทุกคนได้ปฏิบัติจริงและจะเริ่มเรียนทันทีที่สถานที่พร้อม ซึ่งเบื้องต้นในวันเปิดโรงเรียนได้รับบริจาคเงินเพื่อซื้อกระเบื้องมุงหลังคาแล้ว 12 แผ่นคาดว่าจะได้รับความสนับสนุนจากทุกฝ่ายทำให้สามารถเปิดการเรียนการสอนได้ทันในช่วงเดือนมีนาคม 2551- กุมภาพันธ์2552 นี้ เพื่อให้นักเรียนนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้”
ด้านเด็กชายศักดิ์พล นมัสสิลา นักเรียนชั้น ม.1 โรงเรียนบ้านไพรขลาต.ไพรขลา อ.ชุมพลบุรี จ.สุรินทร์ ซึ่งเป็น 1ในศิษย์ที่สมัครเข้าเรียนกลุ่มแรก บอกว่าแม้บ้านเกิดจะไม่ได้อยู่ในพื้นที่ทามแต่เขาก็อยากเรียนรู้เรื่องราวของนายฮ้อยเพราะที่บ้านเลี้ยงวัวและควายมาตลอดตั้งแต่เขาจำความได้แม้ว่าถึงขณะนี้จะขายออกไป จนเหลือเพียง 4-5 ตัวเท่านั้น
“การเรียนนายฮ้อยจะช่วยให้รู้จักรากเหง้าตัวเองที่มีความผูกพันกับวิถีเกษตรมานานหลายชั่วอายุคนรู้ถึงความสำคัญของวัวควายที่มีต่อคนและยังรู้วิธีเลี้ยงให้เติบโตแบบมีคุณภาพสามารถรักษาอย่างถูกต้องเมื่อวัวควายเจ็บป่วยรู้จักเลือกซื้อวัวควายที่มีลักษณะดีมาเลี้ยงซึ่งเชื่อว่าในอนาคตพ่อแม่จะยังเลี้ยงวัวหรือควายและสืบทอดมาถึงผมแน่นอน” ศักดิ์พล อธิบาย
เช่นเดียวกับ ศราวุฒิ ปราสัย เพื่อนร่วมชั้นที่ดั้นด้นมาสมัครเรียนนายฮ้อยด้วยกัน เล่าว่าบ้านของเขาเลิกเลี้ยงวัวควายมาหลายปีแล้วแต่ที่บ้านตายายยังมีอยู่หลายตัว จึงสนใจฝึกเป็นนายฮ้อยเพราะมั่นใจว่าจะได้ใช้ประโยชน์ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม เช่นนำไปบอกเล่าให้ผู้มาเยี่ยมเยือนในแถบทุ่งกุลาร้องไห้ฟัง เพื่อให้รู้จักและเข้าใจวิถีชีวิตของคนในท้องถิ่นอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น
ณ วันนี้ แม้สังคมไทยจะหันมาพึ่งเทคโนโลยีในภาคเกษตรมากขึ้นทำให้วัวควายถูกลดบทบาทลงเหลือเพียงการเลี้ยงเพื่อค้าขายแต่ความผูกพันระหว่างคนกับวัวควายไม่ได้เลือนหายไปด้วยและโรงเรียนเตรียมนายฮ้อยน่าจะเป็นทางเลือกหนึ่งที่ช่วยให้เยาวชนรุ่นใหม่ มีองค์ความรู้ของนายฮ้อยจนสามารถนำมาประยุกต์ใช้เลี้ยงวัวควายหรือดำเนินชีวิตในท้องถิ่นของตนได้อย่างราบรื่นในสถานการณ์ปัจจุบัน