อย.คาดโทษคลินิกชื่อดัง นำเข้าโรลเลอร์กลิ้งให้หน้าเป็นแผล อ้างสเต็มเซลล์ช่วยชะลอแก่ ลั่นผิดกฎหมายไม่ขออนุญาต อวดอ้างเกินจริง ส่งแพทยสภาสอบมาตรฐานวิชาชีพต่อ วางแผนทลายลักลอบนำเข้า หมอผิวหนังชี้เสี่ยงติดเชื้อสูง ระวังเป็นหนูทดลอง
จากกรณีที่คลินิกเสริมความงามหลายแห่งได้โฆษณาอวดอ้างวิธีการรักษาผิวหน้าแบบใหม่ ซึ่งมีราคาแพง โดยกรรมวิธีจะใช้ลูกกลิ้งที่มีเข็มเล็กๆ เป็นจำนวนมากครูดไปบนใบหน้าเพื่อให้ใบหน้ามีการสร้างเซลล์ผิวหนังใหม่ขึ้นมาทดแทนนั้น
วานนี้ (1 มี.ค.) นพ.นิพนธ์ โพธิ์พัฒนชัย รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวว่า หลังจากได้รับการร้องเรียนได้ส่งเจ้าหน้าที่ออกตรวจสอบคลินิกเสริมความงามโดยแบ่งเจ้าหน้าที่ออกตรวจที่นิติพลคลินิก 2 สาขา คือ สาขาอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และสาขาบิ๊กซี ลาดพร้าว รวมทั้งสำนักงานใหญ่ ถนนลาดพร้าว นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่อีกชุดออกตรวจที่วุฒิ-ศักดิ์คลินิก 2 สาขา คือ สาขาสยามสแควร์ และสาขาซีคอนสแควร์ โดยพบว่ามีการโฆษณาสเต็มเซลล์โรลเลอร์ และเดอร์มา โรลเลอร์ ทั้งในรูปแบบโปสเตอร์ ติดในสำนักงานฯ และในรูปแบบแผ่นพับ เชิญชวนให้ใช้บริการ นอกจากยังมีการโฆษณาทางอินเทอร์เน็ต และมีการใช้ทั้งสองวิธีในการบริการ
“การทำงานเรื่องนี้ได้วางแผนจับมา 3 เดือนแล้ว และพบว่าเทคนิคและเครื่องมือดังกล่าวมีการตรวจสอบแล้ว พบว่ายังไม่ได้รับการรับรอง และไม่มีข้อมูลทางการแพทย์ยืนยัน ซึ่งการรักษาดังกล่าวไม่มีหลักฐานยืนยันว่าปลอดภัยหรือได้ผล โดยการโฆษณาอวดอ้างทำให้มักมีคนหลงเชื่อและเป็นเหยื่อจำนวนมาก” นพ.นิพนธ์ กล่าว
นพ.นิพนธ์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้สเต็มเซลล์โรลเลอร์ และเดอร์มา โรลเลอร์ จัดเป็นเครื่องมือแพทย์ชนิดหนึ่ง ซึ่ง อย.ไม่ได้รับรองและยังไม่เคยอนุญาต ให้นำเข้ามาใช้ในประเทศไทย เนื่องจากสรรพคุณไม่ชัดเจน โดยเป็นผลิตภัณฑ์ที่อยู่ระหว่างการศึกษาวิจัย สเต็มเซลล์โรลเลอร์ และเดอร์มา โรลเลอร์ จึงจัดเป็นเครื่องมือแพทย์ที่ห้ามนำเข้าหรือขายตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 34) พ.ศ.2549 ผู้ฝ่าฝืนจะต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 250,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ในส่วนของการโฆษณาโดยไม่ได้รับอนุญาตจะมีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท และโฆษณาโดยไม่ได้รับอนุญาตจะมีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท และโฆษณาโดยมีข้อความอันเป็นเท็จ หลอกลวง จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 25,000 บาท โดย อย.จะมีการขยายผลจับกุมแหล่งผู้นำเข้าต่อไป ซึ่งทราบว่ามีประมาณ 2-3 ราย
นพ.นิพนธ์ กล่าวต่อว่า สำหรับสถานบริการดังกล่าวที่เคยมีการตรวจจับสารกลูตาไธโอน ที่โฆษณาว่าฉีดเข้าผิวหนังแล้วจะทำให้หน้าขาว ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบสารที่ใช้ ยังไม่มีได้รับการขึ้นทะเบียนจาก อย.แต่อย่างใด โดยเรื่องดังกล่าวก็อยู่ระหว่างการพิจารณามาตรฐานการประกอบวิชาชีพของแพทยสภาเช่นกัน อย่างไรก็ตาม หากตรวจพบว่ามีการใช้สารดังกล่าว หรือโฆษณา จะมีการดำเนินการตามกฎหมายทันที
รศ.นพ.นภดล นพคุณ นายกสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เทคนิคดังกล่าวยังไม่มีการรับรองจากสากลว่าช่วยรักษาให้ผิวมีสภาพดีขึ้นกว่าเดิมได้ เพราะตามปกติหากเกิดการอักเสบที่ผิวหนัง ร่างกายจะซ่อมแซมด้วยการเสร้างเนื้อเยื่อ หรือ คลอลาเจนขึ้นมาทดแทน ผิวเดิมที่เสียหายอยู่แล้วแต่ไม่สามารถมีอะไรยืนยันได้ว่าดีขึ้นกว่าเดิมได้หรือไม่ รวมถึงวิตามินซี ฮอร์โมน และสเต็มเซลล์ ที่สถานเสริมความงามใช้ผลักเข้าผิวหนังควบคู่กับการทำโรลเลอร์จะช่วยลบริ้วรอย ชะลอความแก่บนหน้าได้จริง ที่ผ่านมามีการใช้สเต็มเซลล์ผิวหนังเฉพาะการทดลองในสัตว์เท่านั้น ไม่สามารถนำมาใช้กับมนุษย์ได้จริง
“อุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ที่นำมาใช้กับร่างกายและทำให้เกิดบาดแผล จะต้องมีการระวังเรื่องการติดเชื้อ และต้องฆ่าเชื้ออย่างดี หากจะใช้ซ้ำ ซึ่งอุปกรณ์ดังกล่าวมีราคาแพง ทำให้น่าเป็นห่วงว่าจะมีการฆ่าเชื้อที่ได้มาตรฐานหรือไม่ เพราะแม้แต่การใช้อุกปรณ์ซ้ำกับคนไข้คนเดิมก็มีโอกาสติดเชื้อได้ และไม่ใช้ร่วมกับผู้อื่นอย่างยิ่ง เพราะมีโอกาสเสี่ยงที่จะคิดเชื้อเอดส์ หรือไวรัสตับอักเสบได้” รศ.นพ.นภดล กล่าว
รศ.นพ.นภดล กล่าวต่อว่า โดยเครื่องมือแพทย์จะต้องผ่านการศึกษาวิจัยต้องผ่านการวิจัยข้อดีข้อเสีย เปรียบเทียบก่อนและหลังใช้ว่าดีขึ้นจริงหรือไม่ว่าไม่มีผลกระทบต่อผู้ป่วย จึงจะได้รับการอนุญาตว่าเป็นการใช้เทคนิคสากล เพราะบางอย่างอาจมีอันตรายเกิดขึ้น ฉะนั้น ต้องเปรียบเทียบ วิจัย วิธีนี้พยายามค้นหา ว่ามีการวิจัย เปรียบเทียบความปลอดภัยหรือไม่ อย่างไรก็ตาม มีการใช้วิธีดังกล่าวเพราะกฎหมายเปิดช่องให้สามารถทำได้ แต่ก็ไม่มีการวิจัยยืนยัน ข้อดีคือ อาจเกิดการพัฒนาวิธีใหม่ๆ แต่ข้อเสียคือ ผู้ใช้ต้องรับผลกระทบ หรือเป็นหนูทดลองเอง
นายภัทระ แจ้งศิริเจริญ ผู้แทนกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่า จากการร่วมออกตรวจจับ ได้ดูเรื่องการขออนุญาต ทั้ง 4 แห่ง ได้รับอนุญาตถูกต้อง แต่ในส่วนของแพทย์ วิธีการที่นำมาใช้ในการรักษา จะต้องพิจารณาว่าแพทย์ทำตามหลักการประกอบวิชาชีพที่มีมาตรฐานหรือไม่ โดยจะส่งเรื่องดังกล่าวให้แพทยสภาพิจารณาอีกครั้ง ซึ่งทางแพทยสภาอยู่ระหว่างการพิจารณามาตรฐานการรักษาของคลินิกดังกล่าวมาประมาณ 2-3 เดือนแล้ว
จากกรณีที่คลินิกเสริมความงามหลายแห่งได้โฆษณาอวดอ้างวิธีการรักษาผิวหน้าแบบใหม่ ซึ่งมีราคาแพง โดยกรรมวิธีจะใช้ลูกกลิ้งที่มีเข็มเล็กๆ เป็นจำนวนมากครูดไปบนใบหน้าเพื่อให้ใบหน้ามีการสร้างเซลล์ผิวหนังใหม่ขึ้นมาทดแทนนั้น
วานนี้ (1 มี.ค.) นพ.นิพนธ์ โพธิ์พัฒนชัย รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวว่า หลังจากได้รับการร้องเรียนได้ส่งเจ้าหน้าที่ออกตรวจสอบคลินิกเสริมความงามโดยแบ่งเจ้าหน้าที่ออกตรวจที่นิติพลคลินิก 2 สาขา คือ สาขาอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และสาขาบิ๊กซี ลาดพร้าว รวมทั้งสำนักงานใหญ่ ถนนลาดพร้าว นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่อีกชุดออกตรวจที่วุฒิ-ศักดิ์คลินิก 2 สาขา คือ สาขาสยามสแควร์ และสาขาซีคอนสแควร์ โดยพบว่ามีการโฆษณาสเต็มเซลล์โรลเลอร์ และเดอร์มา โรลเลอร์ ทั้งในรูปแบบโปสเตอร์ ติดในสำนักงานฯ และในรูปแบบแผ่นพับ เชิญชวนให้ใช้บริการ นอกจากยังมีการโฆษณาทางอินเทอร์เน็ต และมีการใช้ทั้งสองวิธีในการบริการ
“การทำงานเรื่องนี้ได้วางแผนจับมา 3 เดือนแล้ว และพบว่าเทคนิคและเครื่องมือดังกล่าวมีการตรวจสอบแล้ว พบว่ายังไม่ได้รับการรับรอง และไม่มีข้อมูลทางการแพทย์ยืนยัน ซึ่งการรักษาดังกล่าวไม่มีหลักฐานยืนยันว่าปลอดภัยหรือได้ผล โดยการโฆษณาอวดอ้างทำให้มักมีคนหลงเชื่อและเป็นเหยื่อจำนวนมาก” นพ.นิพนธ์ กล่าว
นพ.นิพนธ์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้สเต็มเซลล์โรลเลอร์ และเดอร์มา โรลเลอร์ จัดเป็นเครื่องมือแพทย์ชนิดหนึ่ง ซึ่ง อย.ไม่ได้รับรองและยังไม่เคยอนุญาต ให้นำเข้ามาใช้ในประเทศไทย เนื่องจากสรรพคุณไม่ชัดเจน โดยเป็นผลิตภัณฑ์ที่อยู่ระหว่างการศึกษาวิจัย สเต็มเซลล์โรลเลอร์ และเดอร์มา โรลเลอร์ จึงจัดเป็นเครื่องมือแพทย์ที่ห้ามนำเข้าหรือขายตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 34) พ.ศ.2549 ผู้ฝ่าฝืนจะต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 250,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ในส่วนของการโฆษณาโดยไม่ได้รับอนุญาตจะมีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท และโฆษณาโดยไม่ได้รับอนุญาตจะมีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท และโฆษณาโดยมีข้อความอันเป็นเท็จ หลอกลวง จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 25,000 บาท โดย อย.จะมีการขยายผลจับกุมแหล่งผู้นำเข้าต่อไป ซึ่งทราบว่ามีประมาณ 2-3 ราย
นพ.นิพนธ์ กล่าวต่อว่า สำหรับสถานบริการดังกล่าวที่เคยมีการตรวจจับสารกลูตาไธโอน ที่โฆษณาว่าฉีดเข้าผิวหนังแล้วจะทำให้หน้าขาว ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบสารที่ใช้ ยังไม่มีได้รับการขึ้นทะเบียนจาก อย.แต่อย่างใด โดยเรื่องดังกล่าวก็อยู่ระหว่างการพิจารณามาตรฐานการประกอบวิชาชีพของแพทยสภาเช่นกัน อย่างไรก็ตาม หากตรวจพบว่ามีการใช้สารดังกล่าว หรือโฆษณา จะมีการดำเนินการตามกฎหมายทันที
รศ.นพ.นภดล นพคุณ นายกสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เทคนิคดังกล่าวยังไม่มีการรับรองจากสากลว่าช่วยรักษาให้ผิวมีสภาพดีขึ้นกว่าเดิมได้ เพราะตามปกติหากเกิดการอักเสบที่ผิวหนัง ร่างกายจะซ่อมแซมด้วยการเสร้างเนื้อเยื่อ หรือ คลอลาเจนขึ้นมาทดแทน ผิวเดิมที่เสียหายอยู่แล้วแต่ไม่สามารถมีอะไรยืนยันได้ว่าดีขึ้นกว่าเดิมได้หรือไม่ รวมถึงวิตามินซี ฮอร์โมน และสเต็มเซลล์ ที่สถานเสริมความงามใช้ผลักเข้าผิวหนังควบคู่กับการทำโรลเลอร์จะช่วยลบริ้วรอย ชะลอความแก่บนหน้าได้จริง ที่ผ่านมามีการใช้สเต็มเซลล์ผิวหนังเฉพาะการทดลองในสัตว์เท่านั้น ไม่สามารถนำมาใช้กับมนุษย์ได้จริง
“อุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ที่นำมาใช้กับร่างกายและทำให้เกิดบาดแผล จะต้องมีการระวังเรื่องการติดเชื้อ และต้องฆ่าเชื้ออย่างดี หากจะใช้ซ้ำ ซึ่งอุปกรณ์ดังกล่าวมีราคาแพง ทำให้น่าเป็นห่วงว่าจะมีการฆ่าเชื้อที่ได้มาตรฐานหรือไม่ เพราะแม้แต่การใช้อุกปรณ์ซ้ำกับคนไข้คนเดิมก็มีโอกาสติดเชื้อได้ และไม่ใช้ร่วมกับผู้อื่นอย่างยิ่ง เพราะมีโอกาสเสี่ยงที่จะคิดเชื้อเอดส์ หรือไวรัสตับอักเสบได้” รศ.นพ.นภดล กล่าว
รศ.นพ.นภดล กล่าวต่อว่า โดยเครื่องมือแพทย์จะต้องผ่านการศึกษาวิจัยต้องผ่านการวิจัยข้อดีข้อเสีย เปรียบเทียบก่อนและหลังใช้ว่าดีขึ้นจริงหรือไม่ว่าไม่มีผลกระทบต่อผู้ป่วย จึงจะได้รับการอนุญาตว่าเป็นการใช้เทคนิคสากล เพราะบางอย่างอาจมีอันตรายเกิดขึ้น ฉะนั้น ต้องเปรียบเทียบ วิจัย วิธีนี้พยายามค้นหา ว่ามีการวิจัย เปรียบเทียบความปลอดภัยหรือไม่ อย่างไรก็ตาม มีการใช้วิธีดังกล่าวเพราะกฎหมายเปิดช่องให้สามารถทำได้ แต่ก็ไม่มีการวิจัยยืนยัน ข้อดีคือ อาจเกิดการพัฒนาวิธีใหม่ๆ แต่ข้อเสียคือ ผู้ใช้ต้องรับผลกระทบ หรือเป็นหนูทดลองเอง
นายภัทระ แจ้งศิริเจริญ ผู้แทนกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่า จากการร่วมออกตรวจจับ ได้ดูเรื่องการขออนุญาต ทั้ง 4 แห่ง ได้รับอนุญาตถูกต้อง แต่ในส่วนของแพทย์ วิธีการที่นำมาใช้ในการรักษา จะต้องพิจารณาว่าแพทย์ทำตามหลักการประกอบวิชาชีพที่มีมาตรฐานหรือไม่ โดยจะส่งเรื่องดังกล่าวให้แพทยสภาพิจารณาอีกครั้ง ซึ่งทางแพทยสภาอยู่ระหว่างการพิจารณามาตรฐานการรักษาของคลินิกดังกล่าวมาประมาณ 2-3 เดือนแล้ว