“แพะ” คดีบึ้มซีคอนสแควร์ ฟ้องแพ่ง “สตช.- พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์-พล.ต.อ.พัชรวาท” เรียกค่าเสียหาย 50 ล้าน เจ้าตัวเผย หลังถูกออกหมายจับ ต้องตกงาน แถมธุรกิจกว่า 10 โครงการเจ๊ง ไม่มีคนลงทุน
วันนี้ (22 ก.พ.) เมื่อเวลา 10.00 น.ที่ศาลจังหวัดพระโขนง นายปรัชญา ปรีชาเวช อายุ 34 ปี เจ้าของร้านอาหาร และนักดนตรีอิสระ อดีตผู้ต้องหาคดีลอบวางระเบิดห้างสรรพสินค้าซีคอนสแควร์ ย่านศรีนครินทร์ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ผบ.ตร.และ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รอง ผบ.ตร.หัวหน้าชุดพนักงานสืบสวนสอบสวน การลอบวางระเบิดในพื้นที่ กทม.9 จุด และ จ.นนทบุรี ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-3 เรื่องละเมิด เรียกค่าเสียหาย 50 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีโดยโจทก์ได้ขอยื่นฟ้องคดีแบบอนาถา
ตามคำฟ้องโจทก์ สรุปว่า โจทก์คดีนี้ถูกจำเลยจับกุม ซึ่งมีการแถลงข่าวทั่วประเทศว่าโจทก์เป็นผู้ต้องสงสัยคดีวางระเบิดห้างซีคอนสแควร์ เมื่อคืนวันที่ 31 ธันวาคม 2549 ซึ่งได้มีการยื่นคำร้องต่อศาลอาญากรุงเทพใต้อนุมัติหมายจับ โดยการกระทำของจำเลยทั้ง 3 ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายอย่างมาก ทั้งทางด้านธุรกิจที่ต้องถูกยกเลิกสัญญา และถูกปฏิเสธในการจ้างงาน เนื่องจากบุคคลทั่วไปเข้าใจว่าโจทก์เป็นบุคคลอันตราย ทั้งนี้ ศาลรับคำฟ้องไว้พิจารณาและนัดไต่สวนว่าจะอนุญาตให้โจทก์ยื่นฟ้อง เป็นคดีอนาถาหรือไม่ ในวันที่ 12 พฤษภาคม เวลา 13.30 น.
ภายหลัง นายปรัชญา กล่าวว่า ตนประกอบธุรกิจและลงทุนในกิจการต่างๆ กว่า 10 โครงการ ที่ลงทุนไป และต้องทำต่อเนื่อง เช่น ทำเว็บไซต์ และวีซีดีสอนคอมพิวเตอร์ เปียโน และเคยร่วมทำงานเพลงให้กับวงสไมล์ บัฟฟาโล่ โดยมีธุรกิจหลายส่วนที่ถูกยกเลิก ภายหลังที่เกิดเรื่องขึ้น ตนได้รับผลกระทบ ต้องตกงานประมาณ 1 ปี ลูกชายอายุ 2 ขวบ ไม่สามารถเข้าเรียนโรงเรียนอนุบาลได้ ต้องส่งไปอยู่กับญาติที่ต่างจังหวัด ตอนนี้ยังมีความหวาดระแวงอยู่บ้าง จึงอยากใช้ชีวิตตามปกติ ไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายปรัชญา และ นายยุทธพงษ์ กิติศรีวรพงษ์ อายุ 36 ปี เพื่อนของนายปรัชญา เป็นบุคคลที่มีใบหน้าเหมือนกับที่ปรากฏในภาพโทรทัศน์วงจรปิดห้างซีคอนฯ ที่เชื่อว่าเป็นผู้ลอบวางระเบิด ซึ่ง พล.ต.ต.เจตน์ มงคลหัตถี รอง ผบช.น.ในฐานะรองหัวหน้าพนักงานสอบสวนฯ ได้ยื่นคำร้องต่อศาลอาญากรุงเทพใต้อนุมัติหมายจับบุคคลทั้งสอง เพื่อมาทำการสอบสวนว่าเป็นผู้กระทำความผิดหรือไม่ ในข้อหาความผิดฐานร่วมกันก่อการร้าย, ความผิดต่อชีวิตและความผิดเกี่ยวกับการก่อให้เกิดภยันตรายต่อประชาชน ทำให้เสียทรัพย์ และความผิด พ.ร.บ.อาวุธ โดยศาลได้อนุมัติหมายจับ 2 ฉบับเลขที่ 526-7 /2550 เนื่องจากเห็นว่าจากการไต่สวนมีหลักฐานตามสมควรน่าเชื่อว่าบุคคลตามภาพถ่ายจากกล้องวงจรปิดน่าจะได้กระทำความผิดอาญาที่มีโทษจำคุกอย่างสูงเกิน 3 ปี แต่ต่อมาทั้งสองยื่นคำร้องขอให้ศาลเพิกถอนหมายจับอ้างว่าไม่ใช่บุคคลคนๆ เดียวกับที่ปรากฏในเทปวงจรปิด แต่เมื่อศาลพิจารณาแล้วก็ไม่ได้มีคำสั่งเพิกถอนการออกหมายจับแต่อย่างใด เพราะเห็นว่าคดียังอยู่ระหว่างการสอบสวนจึงเป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนที่ต้องทำการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อที่จะทราบข้อเท็จจริง และพฤติการณ์ต่างๆ อันเกี่ยวกับความผิดที่ถูกกล่าวหาเพื่อจะรู้ตัวผู้กระทำความผิดและพิสูจน์ให้เห็นความผิดหรือความบริสุทธิ์ของผู้ต้องหาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 131 แต่อย่างไรก็ดี ในการสรุปสำนวนสอบสวนนั้น ปรากฏว่า พนักงานสอบสวนมีความเห็นสมควรสั่งไม่ฟ้องทั้งสองคน ทุกข้อหา