ณ เวิ้งน้ำสีมรกตในเขื่อนเชี่ยวหลาน จ.สุราษฎร์ธานี มีบ้านแพลอยน้ำหลังเล็กๆ ทอดกายเรียงรายอย่างสงบเสงี่ยม ในเนื้อที่กว่า 4 แสนไร่ของเขตอุทยานแห่งชาติเขาสก จ.สุราษฎร์ธานี แห่งนี้ ถูกปกคลุมด้วยผืนป่าดิบชื้นผืนใหญ่ที่เต็มไปด้วยพืชพันธุ์อันหลากหลาย
มโน พิทักษ์ วัย 43 เจ้าของแพปลาลอยน้ำ 2 หลัง เล่าให้ฟังว่าเป็นคนพื้นเพที่นี่โดยกำเนิด แต่เดิมครอบครัวเคยตั้งรากฐานบ้านเรือนอยู่บนพื้นที่อ่าวถ้ำจันทร์บริเวณต้นน้ำของเขื่อนรัชชประภาในปัจจุบัน ยึดการทำสวนยางพาราและปลูกผลไม้ทั้งทุเรียน ลางสาด และสะตอ บนเนื้อที่ 10 ไร่ อีกทั้งหาของป่าขายเลี้ยงชีพเพิ่มรายได้ให้แก่ครอบครัว
จนกระทั่งในปี พ.ศ.2529 ได้มีการกักเก็บน้ำบริเวณเขื่อนเพื่อกำหนดให้เป็นอุทยานแห่งชาติและใช้เป็นประโยชน์ในการท่องเที่ยว ทำให้น้ำไหลบ่าท่วมป่าและที่อยู่อาศัยของชาวบ้านจำนวน 385 ครัวเรือน และพื้นที่ทำกินได้จมอยู่ใต้น้ำเช่นเดียวกับครอบครัวของเขา
ทั้งนี้ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ให้ความช่วยเหลือโดยการจ่ายท่าทดแทนและจัดสรรที่อยู่เพื่อสร้างบ้านจำนวน 1 ไร่ และที่ทำกินอีก 19 ไร่
“คิดว่ามันดีกว่าเข้าไปทำงานรับจ้างในตัวเมือง เพราะมันวุ่นวายหลายเรื่อง ถ้าคิดจะอยู่ตัวเมืองก็อยู่ได้แต่ชอบสถานที่แบบนี้มากกว่ามันเงียบมันสงบสบายใจกว่า อยากอยู่บนนี้เพราะที่นี่ก็เป็นบ้านเกิดมันมีความผูกพัน”
“10 กว่าปี แล้วที่หาปลา” เขาทอดสายตาดูเวิ้งน้ำด้านนอก และเล่าต่อว่า แรกเริ่มที่เข้ามาในเขื่อนนั้นยังไม่ได้คิดถึงอนาคตว่าจะยึดอาชีพอะไร แต่เมื่อชีวิตประจำวันได้อยู่แต่ผิวน้ำจึงรั้งอาชีพทำการประมงเป็นหลัก เริ่มจากการทำประมงพื้นบ้านเล็กๆ ตกเบ็ด ลากอวน ทอดแห หาปลาเพื่อพยุงความอยู่รอด
ลูกปลากดขนาดเล็กหลายหมื่นตัวถูกซื้อมาในราคากิโลกรัมละ 60 บาท แหวกว่ายอยู่ในกระแสน้ำ ที่ถูกจำกัดไว้แค่พื้นตาขายสี่เหลี่ยมขนาดสามเมตรกั้นโดยรอบ เพียงเพื่อนรอวันเวลาที่จะแลกเปลี่ยนสิ่งมีชีวิตกลับกลายเป็นเม็ดเงิน
เมื่อรายได้เพิ่มขึ้นเขาจึงเริ่มขยายความคิดอีกครั้งในการรับซื้อปลาของชาวประมงรอบบริเวณอ่าวมุย โดยเห็นว่าเมื่อชาวประมงจับปลามาได้แล้วต้องนำไปขายยังแพปลาที่อยู่ห่างไกลออกไป ทำให้แพของเขาในขณะนี้มีลูกเรือขาประจำจำนวนไม่น้อยกว่า 10 ลำ ที่นำปลามาขายยังที่พัก
“ผมรับซื้อปลาตลอดเวลาส่วนมากเป็นช่วงเช้ากับช่วงเย็นเพราะปลาจะสด แต่ถ้าช่วงหน้าฝนจะซื้อทั้งวันทั้งคืน ปลามากมันขึ้นคลอง ถ้าปกติจะรอสามถึงสี่คืนรอให้ปลามาก โดยปลาเป็นจะขังไว้ในกระชังส่วนปลาตายก็จะใส่ในตู้แช่น้ำแข็งเมื่อปลาถึงพันกิโลแล้วจะนำไปขายที่แพปลาหน้าเขื่อนที่เป็นเจ้าประจำเพื่อให้หลุดค่าน้ำมัน”
ปลาส่วนใหญ่ที่ชาวประมงจับมาได้เป็นพวกแม่ปลาขนาดเล็ก ถ้าเป็นปลาขนาดใหญ่จะเป็นปลากด โดยจะให้ราคาตามขนาดและชนิดของพันธุ์ปลาและรับซื้อในราคาแพงอย่างปลากด ขนาดตัวละ 1 กิโลกรัม ขายในกิโลกรัมละ 100 บาท แต่ถ้าเป็นปลาบู่จะให้กิโลกรัมละสองร้อยถึงสามร้อยบาท
“รายได้ของผมก็พอจะอยู่ได้แต่ก็ดีกว่าเมื่อก่อนเพราะได้พัฒนาการหาปลามาเรื่อยๆ ได้เงินมาในแต่ละครั้งมันก็ไม่แน่นอนแต่จะตายตัวว่าวันหนึ่งได้ไม่ต่ำกว่าสองร้อยบาท แต่ถ้าช่วงหน้าฝนรายได้ดีปลามากตังค์ก็มาก”
เขาเล่าต่อว่าการทำงานทุกอย่างจะต้องได้กลับคืนมาประมาณ 70% อย่างลงทุนซื้อพันธุ์ปลาไปหลายหมื่นเมื่อขายก็ยังได้กำไร ทำมากได้มากทำน้อยก็ได้น้อย ทุกอย่างจะต้องอดทนมีการรอคอย
“ทำวันนี้ให้ดีกว่าวันที่แล้วๆ มาเพราะวันที่ผ่านมามันแย่แต่จะต้องทำและพัฒนาให้มันดีขึ้นเรื่อยๆ” มโนทิ้งท้าย