อธิบดีกรมการแพทย์เตือนประชาชนเลี่ยงอาหารที่มีเชื้อรา หรือสุกๆ ดิบๆ งดการดื่มสุรา ป้องกัน ภัยร้ายมะเร็งตับ แพทย์ระบุพบมากที่สุดในเพศชาย
นายแพทย์ชาตรี บานชื่น อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า โรคมะเร็งตับเป็นโรคที่พบบ่อยในคนไทย จากสถิติของสถาบันมะเร็งแห่งชาติ พบว่า ในเพศชายพบโรคมะเร็งตับเป็นอันดับ 1 และมะเร็งปอดอันดับ 2 สำหรับเพศหญิงพบมะเร็งปากมดลูกเป็นอันดับ 1 และมะเร็งเต้านมเป็นอันดับ 2 และมะเร็งตับเป็นอันดับ 3 ซึ่งโรคมะเร็งตับที่พบมากในประเทศไทยมี 2 ชนิด คือ โรคมะเร็งของเซลล์ตับ มีสาเหตุสำคัญที่สุด คือ การเป็นพาหะของไวรัสตับอักเสบชนิดบี และโรคมะเร็งท่อน้ำดีตับ ที่พบมากในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ มีสาเหตุมาจากพยาธิใบไม้ตับเป็นสาเหตุสำคัญร่วมกับการรับประทานอาหารที่มีดินประสิว (ไนเตรต) และ ไนไตรต เช่น ปลาร้า ปลาจ่อม ปลาส้ม แหนม ไส้กรอก เบคอน เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีสาเหตุสำคัญอื่นๆ ที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งตับ คือ การดื่มสุราเป็นประจำ การรับประทานอาหารที่มีเชื้อรา ที่พบมากในอาหารประเภทถั่ว ข้าวโพด พริกแห้ง รวมถึงการเกิดไวรัสตับอักเสบชนิดบี และซี ซึ่งอาการของผู้ที่เป็นโรคมะเร็งตับ จะเริ่มต้นด้วยการเบื่ออาหาร แน่นท้อง ตามด้วยอาการอ่อนเพลีย น้ำหนักลด และมีไข้ต่ำ ปวดหรือเสียดชายโครงด้านขวา อาจคลำก้อนได้ รวมทั้งมีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง ท้องโต และบวมบริเวณขาทั้ง 2 ข้าง ทั้งนี้ แพทย์มีวิธีการรักษาหลายวิธี ได้แก่ การผ่าตัด การฉีดยาเข้าก้อนมะเร็งโดยตรงในมะเร็งระยะเริ่มแรก รวมถึงการฉีดยาเคมี หรือ สารอุดตันเข้าเส้นเลือดแดงที่หล่อเลี้ยงก้อนมะเร็ง เพื่อให้ก้อนมะเร็งยุบลง ตลอดจนใช้วิธีการฉายแสง เพื่อบรรเทาอาการของโรคมะเร็ง
อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวแนะนำว่า การป้องกันการเกิดโรคมะเร็งตับมีหลายวิธี คือ การให้วัคซีนไวรัสตับอักเสบชนิดบีในเด็กแรกเกิดทุกคน ป้องกันและรักษาโรคพยาธิใบไม้ตับ ปรับเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตและพฤติกรรมสุขภาพโดยการรับประทานอาหารที่ถูกต้องตามหลักโภชนาการ รับประทานผักและผลไม้เป็นประจำ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีสารก่อมะเร็ง ได้แก่ อาหารที่มีราขึ้น อาหารใส่ดินประดินสิว (ไนเตรต) เช่น ปลาร้า ปลาจ่อม ปลาส้ม แหนม ไส้กรอก เบคอน เป็นต้น อาหารหมักดอง เค็มจัด เผ็ดจัด เนื้อสัตว์รมควัน ปิ้ง ย่าง ทอด จนไหม้เกรียม และอาหารที่สุกๆ ดิบๆ รวมทั้งการงดสูบบุหรี่และงดดื่มสุรา ตลอดจนลดความเครียดและออกกำลังกายเป็นประจำ สำหรับผู้ที่เป็นพาหะไวรัสตับอักเสบบี และซี ควรพบแพทย์ เพื่อตรวจตับอย่างสม่ำเสมอ
