ไม่ว่ายุคไหนสมัยไหน ถ้าพูดถึงกิจกรรมของเด็กในช่วงวัยแรกเกิดจนประมาณ 3 ขวบ โดยหลักแล้วจะเห็นว่าเป็นการกินและนอนเป็นส่วนใหญ่ ตื่นมาเล่นบ้าง แต่ไม่นานก็ร้องกินนม พอกินนมเสร็จ ก็หลับปุ๋ย สำนวนไทยเกี่ยวกับการนอน และการเจริญเติบโตของเด็กก็มีสืบทอดกันมาอยู่หลายสำนวนด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น “กินมากๆ โตเร็วๆ” หรือ “นอนมากๆ โตวันโตคืน” เป็นต้น
แต่ที่มากกว่าสำนวนความเชื่อของผู้เฒ่าผู้แก่เหล่านั้น คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ทราบหรือไม่ว่า นอกจากการกินแล้ว การนอนก็มีความสำคัญในการเจริญเติบโตทางอารมณ์ และพัฒนาการของลูกน้อยด้วยเช่นกัน เพราะการนอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มที่และเพียงพอของเด็ก จะส่งผลให้ร่างกายหลั่งสารเคมีในร่างกายออกมา โดยสารเคมีในร่างกายตัวนี้ จะเป็นผลดีต่อ พัฒนาการทั้งด้านอารมณ์ สมอง และร่างกาย
จากผลการวิจัยของ APPSA ซึ่งเป็นการร่วมกันของผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับของเด็กกับกลุ่ม กุมารแพทย์จากนานาประเทศ ในการวิจัยเกี่ยวกับพฤติกรรม การนอนของเด็กในประเทศต่างๆ เพื่อศึกษาพฤติกรรมการนอนและวิเคราะห์ถึงผลที่จะได้รับจากการนอนในรูปแบบต่างๆ พบว่า
ในการนอนหลับของเด็กเล็กนั้นจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ช่วง คือ ช่วงหลับธรรมดา ซึ่งในช่วงของการนอนหลับแบบธรรมดานี้ ร่างกายของเด็กจะสร้างฮอร์โมนออกมาเพื่อซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย และช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกายอีกด้วย
ส่วนการหลับช่วงที่สอง คือ ช่วงหลับฝัน ช่วงหลับฝันนี้เป็นช่วงที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการเจริญเติบโต โดยเฉพาะการเจริญเติบโตทางสมองในเด็กแรกเกิดจนถึง 5 ขวบ เพราะร่างกายจะสร้างฮอร์โมนที่ช่วยในการกระตุ้นส่วนต่างๆ ของสมอง เพื่อใช้ในการเรียนรู้อันเป็นรากฐานการพัฒนาทางสมองที่สำคัญอย่างยิ่ง
APPSA เปิดเผยข้อมูลจากการสำรวจคุณแม่ที่มีลูกอายุ 0-3 ปี จำนวน 1,000 คน ในปี พ.ศ. 2550 พบปัญหาใหญ่ที่พ่อแม่หลายคนมองข้ามไป ก็คือ ปัญหาของเด็กแรกเกิดจนถึงอายุ 3 ขวบในประเทศไทยกับปัญหาการนอนในช่วงหลับฝัน เพราะจากการสำรวจพฤติกรรมการนอนของลูกน้อยอายุ ตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 3 ขวบ ในกลุ่มคุณแม่คน พบว่า ลูกน้อยเกือบ 2 ใน 3 จะตื่นนอนอย่างน้อย 1 ถึง 2 ครั้งในตอนกลางคืน และมีถึง 73% ของกลุ่ม ตัวอย่างที่ตื่นมากลางดึก และใช้เวลาถึง 30 นาทีกว่าจะนอนหลับอีกครั้ง ซึ่งการตื่นกลางดึกของลูกน้อยของคุณนั้นแสดงให้เห็นว่า เด็กอาจได้รับผลกระทบจากสิ่งแวดล้อม หรือพฤติกรรมการนอนที่ไม่เหมาะสม ทำให้นอนหลับไม่สนิท หรือหลับไม่ เพียงพอ อาจส่งผลต่อการหลั่งฮอร์โมนต่างๆ ที่จะหลั่งต่อเมื่อเด็กเข้าสู่ภาวะช่วงหลับฝัน ซึ่งเป็นช่วงที่หลับสนิทเท่านั้น
ปัจจัยที่จะช่วยให้ลูกน้อยเข้าสู่ช่วงหลับฝันได้ดีขึ้นนั้น ผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนของเด็กแนะนำว่า ควรฝึกให้นอนเป็นเวลา โดยการทำกิจกรรมก่อนนอนที่สม่ำเสมอ จนเป็นกิจวัตร เช่น อาบน้ำ นวดสัมผัส และสร้างบรรยากาศก่อนนอน เช่น อ่านนิทาน ฟังเพลง หรือกล่อมเขาเบาๆ เพื่อให้รู้สึกอบอุ่น และปลอดภัย การทำกิจวัตรก่อนนอน อย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ลูกน้อยเรียนรู้ว่าถึงเวลาเข้านอนของเขาแล้ว ซึ่งวิธีนี้ได้รับ การพิสูจน์แล้วว่า จะช่วยให้ลูกน้อยของคุณหลับสนิท และยาวนานยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ กลิ่นหอมอ่อนของดอกไม้ก็สามารถช่วยให้ลูกน้อยรู้สึกผ่อนคลายก่อนเข้านอนได้ดีเช่นกัน และเมื่อลูกน้อยของคุณได้นอนหลับสนิทจนเข้าสู่ช่วงหลับฝัน และนอน อย่างเพียงพอ ไม่เพียงแต่จะตื่นขึ้นมามีอารมณ์ดี และเบิกบาน ยังมีพัฒนาการ ที่ดีทั้งทางด้านอารมณ์ สมอง และร่างกายที่แข็งแรงสมวัยอีกด้วย
แต่ที่มากกว่าสำนวนความเชื่อของผู้เฒ่าผู้แก่เหล่านั้น คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ทราบหรือไม่ว่า นอกจากการกินแล้ว การนอนก็มีความสำคัญในการเจริญเติบโตทางอารมณ์ และพัฒนาการของลูกน้อยด้วยเช่นกัน เพราะการนอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มที่และเพียงพอของเด็ก จะส่งผลให้ร่างกายหลั่งสารเคมีในร่างกายออกมา โดยสารเคมีในร่างกายตัวนี้ จะเป็นผลดีต่อ พัฒนาการทั้งด้านอารมณ์ สมอง และร่างกาย
จากผลการวิจัยของ APPSA ซึ่งเป็นการร่วมกันของผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับของเด็กกับกลุ่ม กุมารแพทย์จากนานาประเทศ ในการวิจัยเกี่ยวกับพฤติกรรม การนอนของเด็กในประเทศต่างๆ เพื่อศึกษาพฤติกรรมการนอนและวิเคราะห์ถึงผลที่จะได้รับจากการนอนในรูปแบบต่างๆ พบว่า
ในการนอนหลับของเด็กเล็กนั้นจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ช่วง คือ ช่วงหลับธรรมดา ซึ่งในช่วงของการนอนหลับแบบธรรมดานี้ ร่างกายของเด็กจะสร้างฮอร์โมนออกมาเพื่อซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย และช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกายอีกด้วย
ส่วนการหลับช่วงที่สอง คือ ช่วงหลับฝัน ช่วงหลับฝันนี้เป็นช่วงที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการเจริญเติบโต โดยเฉพาะการเจริญเติบโตทางสมองในเด็กแรกเกิดจนถึง 5 ขวบ เพราะร่างกายจะสร้างฮอร์โมนที่ช่วยในการกระตุ้นส่วนต่างๆ ของสมอง เพื่อใช้ในการเรียนรู้อันเป็นรากฐานการพัฒนาทางสมองที่สำคัญอย่างยิ่ง
APPSA เปิดเผยข้อมูลจากการสำรวจคุณแม่ที่มีลูกอายุ 0-3 ปี จำนวน 1,000 คน ในปี พ.ศ. 2550 พบปัญหาใหญ่ที่พ่อแม่หลายคนมองข้ามไป ก็คือ ปัญหาของเด็กแรกเกิดจนถึงอายุ 3 ขวบในประเทศไทยกับปัญหาการนอนในช่วงหลับฝัน เพราะจากการสำรวจพฤติกรรมการนอนของลูกน้อยอายุ ตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 3 ขวบ ในกลุ่มคุณแม่คน พบว่า ลูกน้อยเกือบ 2 ใน 3 จะตื่นนอนอย่างน้อย 1 ถึง 2 ครั้งในตอนกลางคืน และมีถึง 73% ของกลุ่ม ตัวอย่างที่ตื่นมากลางดึก และใช้เวลาถึง 30 นาทีกว่าจะนอนหลับอีกครั้ง ซึ่งการตื่นกลางดึกของลูกน้อยของคุณนั้นแสดงให้เห็นว่า เด็กอาจได้รับผลกระทบจากสิ่งแวดล้อม หรือพฤติกรรมการนอนที่ไม่เหมาะสม ทำให้นอนหลับไม่สนิท หรือหลับไม่ เพียงพอ อาจส่งผลต่อการหลั่งฮอร์โมนต่างๆ ที่จะหลั่งต่อเมื่อเด็กเข้าสู่ภาวะช่วงหลับฝัน ซึ่งเป็นช่วงที่หลับสนิทเท่านั้น
ปัจจัยที่จะช่วยให้ลูกน้อยเข้าสู่ช่วงหลับฝันได้ดีขึ้นนั้น ผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนของเด็กแนะนำว่า ควรฝึกให้นอนเป็นเวลา โดยการทำกิจกรรมก่อนนอนที่สม่ำเสมอ จนเป็นกิจวัตร เช่น อาบน้ำ นวดสัมผัส และสร้างบรรยากาศก่อนนอน เช่น อ่านนิทาน ฟังเพลง หรือกล่อมเขาเบาๆ เพื่อให้รู้สึกอบอุ่น และปลอดภัย การทำกิจวัตรก่อนนอน อย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ลูกน้อยเรียนรู้ว่าถึงเวลาเข้านอนของเขาแล้ว ซึ่งวิธีนี้ได้รับ การพิสูจน์แล้วว่า จะช่วยให้ลูกน้อยของคุณหลับสนิท และยาวนานยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ กลิ่นหอมอ่อนของดอกไม้ก็สามารถช่วยให้ลูกน้อยรู้สึกผ่อนคลายก่อนเข้านอนได้ดีเช่นกัน และเมื่อลูกน้อยของคุณได้นอนหลับสนิทจนเข้าสู่ช่วงหลับฝัน และนอน อย่างเพียงพอ ไม่เพียงแต่จะตื่นขึ้นมามีอารมณ์ดี และเบิกบาน ยังมีพัฒนาการ ที่ดีทั้งทางด้านอารมณ์ สมอง และร่างกายที่แข็งแรงสมวัยอีกด้วย