“กษมา” แย้ม สพท.เพิ่งตั้งใหม่ 7 แห่ง เผชิญปัญหาขาดบุคลากรทำงาน เหตุตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกลเดินทางลำบาก สั่งให้ ผอ.สพท.นั่งบริหารควบ 2 แห่ง ให้ลูกจ้างช่วยงานชั่วคราวก่อนสรรหาบุคลากรมาทำงาน พร้อมย้ำ 1 ตุลานี้ สพท. 7 แห่งเดินเครื่องทันที เผยเตรียมส่ง 33 ทีมลุยประเมิน สพท.
คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กล่าวว่า วันนี้ (29 ม.ค.) ตนเชิญผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) 7 เขต ได้แก่ ปราจีนบุรี จากเดิม 1 เขตเพิ่มเป็น 2 เขต, อุทัยธานี จากเดิม 1 เขตเพิ่มเป็น 2 เขต, เลย จากเดิม 2 เขตเพิ่มเป็น 3 เขต, มหาสารคาม จากเดิม 2 เขตเพิ่มเป็น 3 เขต, กาญจนบุรี จากเดิม 3 เขตเพิ่มเป็น 4 เขต, เชียงใหม่ จากเดิม 5 เขตเพิ่มเป็น 6 เขต และพัทลุง จากเดิม 1 เขตเพิ่มเป็น 2 เขต โดยเป็น สพท.ที่แบ่งเพิ่มเติม ขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ดำเนินการส่งเรื่องนี้เพื่อประกาศในพระราชกิจจานุเบกษา อย่างไรก็ดี จากการหารือร่วมกันถึงการดำเนินการสอบถาม หรือทำประชาพิจารณ์ เกี่ยวกับแบ่งเขตพื้นที่ในเรื่องความพร้อมของบุคลากร อาคารสถานที่ ทาง ผอ.สพท.แสดงความเห็นในทิศทางเดียวกันว่า สถานที่ไม่น่าจะมีปัญหาแต่อย่างใด แต่ปัญหาใหญ่ที่แต่ละแห่งกำลังเผชิญคือ ปัญหาด้านบุคลากร เนื่องจาก สพท.ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ไกล การเดินทางค่อนข้างลำบากจึงไม่มีคนอยากย้ายไปประจำ ดังนั้น ที่ประชุม กพฐ.จึงเสนอให้ตั้งคณะกรรมการ 1 ชุดเพื่อสำรวจความต้องการ ความสมัครใจ รวมถึงทรัพย์สินในแต่ละ สพท.ในช่วงเดือน ก.พ.นี้
ทั้งนี้ เพื่อให้ สพท.ทั้ง 7 เขต เริ่มดำเนินงานตามหน้าที่ วันที่ 1 พ.ค.โดยระยะแรก การเตรียมความพร้อมอาจจะยังไม่สมบูรณ์ อาจให้ลูกจ้างใน สพท.เดิมไปทำงานก่อน ขณะเดียวกันก็ให้ ผอ.สพท.ในเขตเดิมดูแลควบคู่ไปทั้ง 2 เขต ส่วนการโยกย้าย หรือบรรจุตำแหน่งให้เป็นหน้าที่ของคณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) ดำเนินการ แต่ สพท.ทั้ง 7 เขตต้องพร้อมทำงานอย่างเต็มรูปแบบ 1 ต.ค.เป็นต้นไป
จากนั้น คุณหญิงกษมา กล่าวว่า ที่ประชุม กพฐ.ยังได้ติดตามเกี่ยวกับการประเมิน สพท.รอบแรก พร้อมกับกำหนดการประเมินผลในรอบ 2 จะเริ่มประเมินปลายเดือน ก.พ.โดยจะส่งทีมประเมินจาก สพฐ.จำนวน 33 ทีม แต่ละทีมประกอบด้วย ผู้เชี่ยวชาญจาก สพฐ.เป็นหัวหน้าทีม ศึกษานิเทศก์ (ศน.) ใน สพท.รวมถึงรอง ผอ.สพท.ที่สอบคัดเลือกและได้รับการรับรองจำนวน 200 คนเข้าร่วมทีมติดตามประเมินผลครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม การประเมินรอบ 2 จะเน้นผลที่เกิดกับโรงเรียน ทั้งนี้ จะดูจากสิ่งที่ สพท.ดำเนินการไปแล้วตามที่ประเมินในรอบแรกว่าส่งผลต่อโรงเรียนเช่นไรบ้าง โดยจะสุ่มประเมินผลอย่างเจาะลึก และนำผลทีได้มาเป็นข้อมูล เพื่อกำหนดแนวทางพัฒนาต่อไป
คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กล่าวว่า วันนี้ (29 ม.ค.) ตนเชิญผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) 7 เขต ได้แก่ ปราจีนบุรี จากเดิม 1 เขตเพิ่มเป็น 2 เขต, อุทัยธานี จากเดิม 1 เขตเพิ่มเป็น 2 เขต, เลย จากเดิม 2 เขตเพิ่มเป็น 3 เขต, มหาสารคาม จากเดิม 2 เขตเพิ่มเป็น 3 เขต, กาญจนบุรี จากเดิม 3 เขตเพิ่มเป็น 4 เขต, เชียงใหม่ จากเดิม 5 เขตเพิ่มเป็น 6 เขต และพัทลุง จากเดิม 1 เขตเพิ่มเป็น 2 เขต โดยเป็น สพท.ที่แบ่งเพิ่มเติม ขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ดำเนินการส่งเรื่องนี้เพื่อประกาศในพระราชกิจจานุเบกษา อย่างไรก็ดี จากการหารือร่วมกันถึงการดำเนินการสอบถาม หรือทำประชาพิจารณ์ เกี่ยวกับแบ่งเขตพื้นที่ในเรื่องความพร้อมของบุคลากร อาคารสถานที่ ทาง ผอ.สพท.แสดงความเห็นในทิศทางเดียวกันว่า สถานที่ไม่น่าจะมีปัญหาแต่อย่างใด แต่ปัญหาใหญ่ที่แต่ละแห่งกำลังเผชิญคือ ปัญหาด้านบุคลากร เนื่องจาก สพท.ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ไกล การเดินทางค่อนข้างลำบากจึงไม่มีคนอยากย้ายไปประจำ ดังนั้น ที่ประชุม กพฐ.จึงเสนอให้ตั้งคณะกรรมการ 1 ชุดเพื่อสำรวจความต้องการ ความสมัครใจ รวมถึงทรัพย์สินในแต่ละ สพท.ในช่วงเดือน ก.พ.นี้
ทั้งนี้ เพื่อให้ สพท.ทั้ง 7 เขต เริ่มดำเนินงานตามหน้าที่ วันที่ 1 พ.ค.โดยระยะแรก การเตรียมความพร้อมอาจจะยังไม่สมบูรณ์ อาจให้ลูกจ้างใน สพท.เดิมไปทำงานก่อน ขณะเดียวกันก็ให้ ผอ.สพท.ในเขตเดิมดูแลควบคู่ไปทั้ง 2 เขต ส่วนการโยกย้าย หรือบรรจุตำแหน่งให้เป็นหน้าที่ของคณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) ดำเนินการ แต่ สพท.ทั้ง 7 เขตต้องพร้อมทำงานอย่างเต็มรูปแบบ 1 ต.ค.เป็นต้นไป
จากนั้น คุณหญิงกษมา กล่าวว่า ที่ประชุม กพฐ.ยังได้ติดตามเกี่ยวกับการประเมิน สพท.รอบแรก พร้อมกับกำหนดการประเมินผลในรอบ 2 จะเริ่มประเมินปลายเดือน ก.พ.โดยจะส่งทีมประเมินจาก สพฐ.จำนวน 33 ทีม แต่ละทีมประกอบด้วย ผู้เชี่ยวชาญจาก สพฐ.เป็นหัวหน้าทีม ศึกษานิเทศก์ (ศน.) ใน สพท.รวมถึงรอง ผอ.สพท.ที่สอบคัดเลือกและได้รับการรับรองจำนวน 200 คนเข้าร่วมทีมติดตามประเมินผลครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม การประเมินรอบ 2 จะเน้นผลที่เกิดกับโรงเรียน ทั้งนี้ จะดูจากสิ่งที่ สพท.ดำเนินการไปแล้วตามที่ประเมินในรอบแรกว่าส่งผลต่อโรงเรียนเช่นไรบ้าง โดยจะสุ่มประเมินผลอย่างเจาะลึก และนำผลทีได้มาเป็นข้อมูล เพื่อกำหนดแนวทางพัฒนาต่อไป
