สพฐ.เผยรับนักเรียนปี 51 กทม.มีห้องเรียนเพิ่ม 84 ห้อง รองรับเด็กล้นได้กว่า 3 พันคน พร้อมระบุขณะนี้มี ร.ร.ดังเพิ่มอีก 7 โรง รวมเป็น 369 โรงทั่วประเทศ
นายสมเกียรติ ชอบผล รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (รองเลขา กพฐ.) เปิดเผยความคืบหน้าการรับนักเรียนประจำปีการศึกษา 2551 ว่า จากการที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้ประชาสัมพันธ์แนวทางการรับนักเรียนประจำปีการศึกษา 2551 ไปแล้วนั้น ปรากฏว่า ประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง และที่สำคัญจากการที่ สพฐ.ได้ทำงานประสานความร่วมมือกับกรุงเทพมหานคร (กทม.) อย่างใกล้ชิด ส่งผลให้ ร.ร.ใน กทม.เพิ่มห้องเรียนใน ร.ร.เดิมอีก 42 ห้องเรียน เพื่อรองรับเด็กมัธยมศึกษาปีที่ 1 อีกทั้งยังมี ร.ร.สร้างใหม่เพิ่มขึ้นอีกจำนวน 42 ห้องเรียน เท่ากับว่า กทม.จะมีห้องเรียนเพิ่มขึ้นอีก 84 ห้องเรียน โดยสามารถรองรับเด็กนักเรียนได้จำนวน 3,360 คน ซึ่งจำนวนนักเรียนดังกล่าวเป็นตัวเลขของนักเรียนที่เกินความสามารถที่ ร.ร.จะรับได้เมื่อปีการศึกษา 2550 ที่ผ่านมา
นอกจากนั้น ในปีการศึกษา 2551 นี้มีโรงเรียนดี เด่น ดัง ที่มีอัตราการแข่งขันสูงเพิ่มขึ้นอีก 7 โรง จาก 362 โรงเป็น 369 โรง จำแนกเป็น ร.ร.ที่อยู่ในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) กทม.เขต 1 จำนวน 24 โรง, สพท.กทม.เขต 2 จำนวน 34 โรง, สพท.กทม.เขต 3 จำนวน 24 โรง และในส่วนภูมิภาคอีกจำนวน 287 โรง ซึ่งโรงเรียนดังกล่าวสามารถรับนักเรียนชั้น ม.1 ได้จำนวน 169,178 คน และสามารถรับนักเรียนชั้น ม.4 ได้จำนวน 143,364 คน จากจำนวนที่ ร.ร.ทั่วประเทศที่สามารถรับนักเรียน ม.1 เข้าเรียนได้จำนวน 780,000 คน ส่วน ม.4 สามารถรับนักเรียนได้ 480,000 คน
อย่างไรก็ตาม จากการประชุมคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เมื่อเร็วๆ นี้ คณะกรรมการได้ให้ข้อเสนอแนะการดำเนินโครงการโรงเรียนคู่พัฒนา เพราะเห็นว่าการดำเนินโครงการดังกล่าวในระยะยาวจะสามารถพัฒนาโรงเรียนอื่นๆ ให้มีคุณภาพดีใกล้เคียงกับโรงเรียนดี เด่น ดัง ได้อย่างแน่นอน โดยคณะกรรมการยินดีจะเป็นพี่เลี้ยงให้ พร้อมทั้งจะคอยกำกับ ติดตาม ดูแล และให้การสนับสนุนโรงเรียนที่เป็นโรงเรียนคู่พัฒนาต่อไป
ส่วนผู้แทนจากกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) ก็ชี้แจงว่า จากนี้ไป สถ.มีนโยบายที่จะรับไม่รับโอนโรงเรียนที่มีความพร้อม แต่จะรับโอนโรงเรียนที่อยู่ในอำเภอรอบนอกที่ยังไม่มีความพร้อมมาช่วยพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ นายประพัฒน์พงศ์ เสนาฤทธิ์ อดีตอธิบดีกรมวิชาการ ได้เสนอให้ สพฐ.ประสานงานกับมหาวิทยาลัยต่างๆ เพื่อให้มหาวิทยาลัยขยายการให้โควตาสนับสนุนนักเรียนที่เรียนดี ซึ่งเรียนในโรงเรียนรอบนอก เพราะการให้โควตานักเรียนในลักษณะนี้ จะส่งผลให้นักเรียนหวนกลับไปเรียนในโรงเรียนที่อยู่รอบนอกมากขึ้น เนื่องจากจะทำให้นักเรียนที่เรียนดีมีโอกาสได้รับโควตาเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยมากกว่าเรียนในโรงเรียนที่มีเด็กเก่งจำนวนมาก
นายสมเกียรติ ชอบผล รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (รองเลขา กพฐ.) เปิดเผยความคืบหน้าการรับนักเรียนประจำปีการศึกษา 2551 ว่า จากการที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้ประชาสัมพันธ์แนวทางการรับนักเรียนประจำปีการศึกษา 2551 ไปแล้วนั้น ปรากฏว่า ประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง และที่สำคัญจากการที่ สพฐ.ได้ทำงานประสานความร่วมมือกับกรุงเทพมหานคร (กทม.) อย่างใกล้ชิด ส่งผลให้ ร.ร.ใน กทม.เพิ่มห้องเรียนใน ร.ร.เดิมอีก 42 ห้องเรียน เพื่อรองรับเด็กมัธยมศึกษาปีที่ 1 อีกทั้งยังมี ร.ร.สร้างใหม่เพิ่มขึ้นอีกจำนวน 42 ห้องเรียน เท่ากับว่า กทม.จะมีห้องเรียนเพิ่มขึ้นอีก 84 ห้องเรียน โดยสามารถรองรับเด็กนักเรียนได้จำนวน 3,360 คน ซึ่งจำนวนนักเรียนดังกล่าวเป็นตัวเลขของนักเรียนที่เกินความสามารถที่ ร.ร.จะรับได้เมื่อปีการศึกษา 2550 ที่ผ่านมา
นอกจากนั้น ในปีการศึกษา 2551 นี้มีโรงเรียนดี เด่น ดัง ที่มีอัตราการแข่งขันสูงเพิ่มขึ้นอีก 7 โรง จาก 362 โรงเป็น 369 โรง จำแนกเป็น ร.ร.ที่อยู่ในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) กทม.เขต 1 จำนวน 24 โรง, สพท.กทม.เขต 2 จำนวน 34 โรง, สพท.กทม.เขต 3 จำนวน 24 โรง และในส่วนภูมิภาคอีกจำนวน 287 โรง ซึ่งโรงเรียนดังกล่าวสามารถรับนักเรียนชั้น ม.1 ได้จำนวน 169,178 คน และสามารถรับนักเรียนชั้น ม.4 ได้จำนวน 143,364 คน จากจำนวนที่ ร.ร.ทั่วประเทศที่สามารถรับนักเรียน ม.1 เข้าเรียนได้จำนวน 780,000 คน ส่วน ม.4 สามารถรับนักเรียนได้ 480,000 คน
อย่างไรก็ตาม จากการประชุมคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เมื่อเร็วๆ นี้ คณะกรรมการได้ให้ข้อเสนอแนะการดำเนินโครงการโรงเรียนคู่พัฒนา เพราะเห็นว่าการดำเนินโครงการดังกล่าวในระยะยาวจะสามารถพัฒนาโรงเรียนอื่นๆ ให้มีคุณภาพดีใกล้เคียงกับโรงเรียนดี เด่น ดัง ได้อย่างแน่นอน โดยคณะกรรมการยินดีจะเป็นพี่เลี้ยงให้ พร้อมทั้งจะคอยกำกับ ติดตาม ดูแล และให้การสนับสนุนโรงเรียนที่เป็นโรงเรียนคู่พัฒนาต่อไป
ส่วนผู้แทนจากกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) ก็ชี้แจงว่า จากนี้ไป สถ.มีนโยบายที่จะรับไม่รับโอนโรงเรียนที่มีความพร้อม แต่จะรับโอนโรงเรียนที่อยู่ในอำเภอรอบนอกที่ยังไม่มีความพร้อมมาช่วยพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ นายประพัฒน์พงศ์ เสนาฤทธิ์ อดีตอธิบดีกรมวิชาการ ได้เสนอให้ สพฐ.ประสานงานกับมหาวิทยาลัยต่างๆ เพื่อให้มหาวิทยาลัยขยายการให้โควตาสนับสนุนนักเรียนที่เรียนดี ซึ่งเรียนในโรงเรียนรอบนอก เพราะการให้โควตานักเรียนในลักษณะนี้ จะส่งผลให้นักเรียนหวนกลับไปเรียนในโรงเรียนที่อยู่รอบนอกมากขึ้น เนื่องจากจะทำให้นักเรียนที่เรียนดีมีโอกาสได้รับโควตาเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยมากกว่าเรียนในโรงเรียนที่มีเด็กเก่งจำนวนมาก
