“กรมอนามัย” เตือนขาดไอโอดีนส่งผลร้ายทำเด็กเป็นเอ๋อ หญิงแท้งง่าย ชายเซ็กซ์เสื่อม ระบุคนไทยส่วนใหญ่ยังเข้าใจคลาดเคลื่อนเพราะโรคขาดสารไอโอดีนไม่ได้ทำให้เป็นโรคคอพอกเท่านั้น แต่ส่งผลกระทบต่อร่างกาย สมอง และสติปัญญาของ คนทุกวัย แม้แต่คนในชุมชนเมืองหรืออาศัยใกล้ทะเลก็มีสิทธิ์เป็นได้ หากได้รับสารไอโอดีนไม่เพียงพอ
วันนี้ (28 ม.ค.) ที่ห้องประชุมกำธร สุวรรณกิจ อาคาร 1 ชั้น 1 กรมอนามัย นพ.ณรงค์ศักดิ์ อังคะสุวพลา อธิบดีกรมอนามัย กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมประสบการณ์การควบคุมโรคขาดสารไอโอดีนระดับนานาชาติว่า ปัจจุบันโรคขาดสารไอโอดีนยังคงเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศ เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่มีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับโรคนี้ โดยคิดว่าการขาดสารไอโอดีนจะทำให้เกิดอาการคอพอกเพียงอย่างเดียว หากตนไม่มีอาการคอพอกก็แสดงว่าไม่ขาดสารไอโอดีน และคิดว่าเป็นเฉพาะในวัยเด็กเท่านั้น จึงไม่ให้ความสำคัญกับการกินอาหารที่มีสารไอโอดีนมากนัก โดยหารู้ไม่ว่าไอโอดีนมีผลต่อการเจริญเติบโตทั้งทางร่างกาย สมอง และสติปัญญาของคนในทุกช่วงอายุ
หากขาดสารไอโอดีนก็จะมีภาวะผิดปกติแตกต่างกันไป เช่น ช่วงทารกในครรภ์ถึงแรกเกิด จะทำให้เกิดการแท้งหรือตายก่อนกำหนดได้ง่าย หรือหากไม่ตาย คลอดออกมาทารกก็จะพิการแต่กำเนิด คือ หูหนวก ขาแข็ง กระตุก ตาเหล่ รูปร่างแคระแกรน และสติปัญญาเสื่อมจนถึงปัญญาอ่อนหรือที่เรียกว่าเป็นเอ๋อ ส่วนวัยเด็กถึงวัยรุ่นร่างกายจะเจริญเติบโตช้า สติปัญญาด้อยลงกว่าคนปกติและมีอาการคอพอก ส่วนวัยผู้ใหญ่จะมีอาการคอพอก เหนื่อยง่าย ไม่สดชื่น สมรรถนะในการทำงานลดลง ร่างกายและจิตใจเสื่อมถอย หากเป็นเพศชายจะมีอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ สำหรับผู้หญิงประจำเดือนอาจมาไม่ปกติ
นพ.ณรงค์ศักดิ์ กล่าวต่อว่า ตลอดช่วงชีวิตของคนต้องการสารไอโอดีนรวมกันแล้วไม่เกิน 1 ช้อนชา หรือเฉลี่ยแล้วในวันหนึ่ง ๆ แม้ว่าร่างกายต้องการสารไอโอดีนเพียงแค่ 150 ไมโครกรัมเท่านั้น แต่ก็ขาดไม่ได้แม้แต่วันเดียวเพราะร่างกายไม่สามารถสะสมไว้ได้ สารไอโอดีนบางส่วนจะถูกนำไปใช้ในการสร้างฮอร์โมนสำหรับการเติบโตของร่างกายและสมอง ส่วนที่เหลือจะถูกขับออกจากร่างกาย จึงจำเป็นต้องกินอาหารที่มีสารไอโอดีนทุกวัน โดยในอดีตผู้ป่วยที่เป็นโรคขาดสารไอโอดีนจะพบมากในเขตพื้นที่ชนบทที่ห่างไกลทะเล หรือแถบพื้นที่สูงทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แต่ขณะนี้พบว่าผู้ที่อาศัยอยู่ในภาคกลาง ภาคใต้ หรือแม้แต่พื้นที่ติดชายทะเล รวมทั้งคนกรุงเทพฯ ก็มีสิทธิ์เป็นโรคขาดสารไอโอดีนเช่นกัน หากร่างกายไม่ได้รับสารไอโอดีนที่เพียงพอทุกวัน
“ทั้งนี้ ปัญหาโรคขาดสารไอโอดีนไม่สามารถขจัดให้หมดไปได้ มาตรการควบคุมที่กรมอนามัยได้เร่งดำเนินการอย่างต่อเนื่องขณะนี้ คือ การส่งเสริมให้ทุกครัวเรือนมีการใช้เกลือเสริมไอโอดีนในการปรุงอาหารไม่ น้อยกว่าร้อยละ 70 เป็นมาตรการหลัก และใช้อาหารเสริมไอโอดีนเป็นมาตรการเสริมอีกทางหนึ่งในการควบคุมและป้องกัน เพราะจากข้อมูลปี 2548 พบว่า มีความครอบคลุมเกลือเสริมไอโอดีนในครัวเรือนเพียงร้อยละ 58.8 และมีเกลือเสริมไอโอดีนในครัวเรือนที่ได้คุณภาพมาตรฐานร้อยละ 54 เท่านั้น” นพ.ณรงค์ศักดิ์ กล่าว
นพ.ณรงค์ศักดิ์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ จากผลการสำรวจอนามัยโพลโดยกรมอนามัยร่วมกับมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต เมื่อปี 2550 เกี่ยวกับพฤติกรรมการบริโภคเกลือเสริมไอโอดีนในกลุ่มตัวอย่าง 630 คน พบว่า มีการใช้เกลือเสริมไอโอดีนปรุงประกอบอาหารภายในครอบครัวร้อยละ 57.67 ดังนั้น การส่งเสริมให้ทุกครัวเรือนใช้เกลือเสริมไอโอดีนที่มีคุณภาพปรุงอาหาร ก็จะเป็นวิธีการหนึ่งที่ช่วยลดปัญหาการขาดสารไอโอดีนในประเทศไทยลงได้