สวัสดีปีใหม่ค่ะ
และแล้ว..ก็ผ่านพ้นไปอีกหนึ่งปี ท่ามกลางความวุ่นวายทางด้านการเมือง ที่มันช่างตรงข้ามกับความรู้สึกของผู้คนที่อยู่ในช่วงแห่งการฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ แต่ไม่ต้องเป็นกังวลไปค่ะ เพราะชีวิตต้องดำเนินต่อไป
สำหรับคนเป็นพ่อแม่ก็น่าจะถือโอกาสนี้พูดคุยกับลูกถึงช่วงเวลาที่ผ่านไปหนึ่งปี มีอะไรที่ลูกทำสิ่งดีๆ แล้วประทับใจ หรือมีบางสิ่งที่ทำแล้วไม่สบายใจหรือทำไม่ดี ก็ถือโอกาสได้พูดคุยและหันหน้าคุยกันในครอบครัวซะเลยก็ไม่เลวค่ะ
ไหนๆ ก็ปีใหม่ที่เป็นปีของหนู ก็เลยอยากฝากสิ่งดีๆ ของ พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือท่าน ว. วชิรเมธี ที่ท่านเคยให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Mother&Care ก็เลยขออนุญาตนำมาฝากเพื่อนผู้อ่านเพื่อเป็นข้อคิดและสิริมงคลให้แก่ชีวิตช่วงปีใหม่นี้ค่ะ
“พระพุทธเจ้าตรัสไว้คำหนึ่งว่า การเกิดเป็นทุกข์ แต่ประโยคนี้ไม่จบนะ มีต่อว่า เกิดดีมีสุข การเกิดเป็นทุกข์เป็นการยอมรับความจริงตามธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน แต่ความจริงไม่ได้มีแค่นี้ ถ้าเกิดดีก็มีความสุขได้ การเกิดเป็นทุกข์นั้นเป็นความทุกข์ทางกาย เช่น มนุษย์เกิดมาแล้วต้องกิน ต้องดื่ม ป่วยไข้ต้องรักษา อันนี้ เป็นความทุกข์ตามธรรมชาติ เป็นคำอธิบายของการเกิดเป็นทุกข์ แต่ถ้าเราเรียนรู้ที่จะบำบัดความทุกข์ทางกาย เช่น หิวก็กิน ป่วยก็รักษา เจ็บปวดกล้ามเนื้อก็เปลี่ยนอิริยาบถ
พระพุทธเจ้าจึงตรัสต่อไปว่า การเกิดนั้นเป็นทุกข์ทางกาย แต่ทางจิตใจ เราไม่ได้แบกทุกข์มาตั้งแต่เกิด มีคำอยู่คำหนึ่ง พระองค์ตรัสเอาไว้ว่า ธรรมชาติเดิมแท้ของจิตนั้นเป็นประภัสสร คือธรรมชาติของจิตตั้งแต่แรกเกิดมีความบริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่แล้ว ฉะนั้น ที่บอกว่าทุกข์นั้นเป็นทุกข์ของกาย ถ้าเราสามารถฝึกจิตให้แยกความจริงของกายไว้กองหนึ่ง ความจริงของใจไว้กองหนึ่ง ก็จะเห็นชัดว่าที่ทุกข์นั้น กายทุกข์ แต่ถ้าใจมีปัญญา สามารถแก้ปัญหาทางกายได้ การเกิดนั้นก็เป็นสุข
ผู้ที่จะได้ชื่อว่าเป็นพ่อเป็นแม่นั้น ลำพังให้กำเนิดลูกยังไม่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อเป็นแม่ แต่เป็นได้แค่ผู้ให้กำเนิด หลายคนอาจคิดว่าแค่ให้กำเนิดก็เป็นพ่อเป็นแม่แล้ว ทางพุทธยังไม่ยอมรับ ถ้าเพียงแค่ให้กำเนิดแล้วได้ชื่อว่าเป็นพ่อเป็นแม่ มนุษย์ก็ไม่ต่างจากสัตว์เดรัจฉาน หมู หมา กา ไก่ มันให้กำเนิดปุ๊บ มันก็ได้ชื่อว่าเป็นพ่อเป็นแม่แล้ว
ถ้าคนทำแค่นี้ก็ไม่ประเสริฐไปกว่าสัตว์เดรัจฉานเลย ดังนั้น ถ้าให้กำเนิดมาแล้วจะได้ชื่อว่าเป็นพ่อเป็นแม่ต้องทำหน้าที่อย่างน้อย 5 ประการ หนึ่ง ห้ามปรามลูกจากความชั่ว สอง แนะนำลูกให้ตั้งอยู่ในความดี สาม ให้ลูกได้รับการศึกษา สี่ เป็นธุระดูแลเรื่องคู่ครองของลูก ห้า เมื่อถึงเวลาอันสมควรก็มอบมรดกให้ลูก ถ้าพ่อแม่ทำหน้าที่ 5 ประการนี้แล้ว พ่อแม่ก็เลื่อนสถานะจากผู้ให้กำเนิดเป็นพ่อเป็นแม่
ถ้าคุณไม่ได้ทำหน้าที่ 5 ประการนี้ก็เป็นเพียงแค่ผู้ให้กำเนิดเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น ลองย้อนกลับไปที่พ่อแม่ทุกวันนี้สิ เป็นพ่อเป็นแม่กันหรือเปล่า คุณห้ามลูกจากความชั่วไหม หรือปล่อยลูกไปอยู่ในแหล่งอบายมุข ในทางพุทธศาสนายกย่องคนเป็นพ่อเป็นแม่เอาไว้ว่า หนึ่งเท่ากับเป็นพระพรหม สองเท่ากับเป็นบุรพาจารย์คือครูคนแรก สามเท่ากับเป็นพระอรหันต์
ชะตากรรมของลูกจะเป็นอย่างไร ขึ้นกับพ่อกับแม่ ฉะนั้น ช่วง 0-6 ขวบ จึงเป็นช่วงที่อันตรายและช่วงที่ดีที่สุดที่พ่อแม่จะใส่อะไรให้กับลูก ถ้าในระหว่างนี้ พ่อแม่ไม่สามารถใส่สิ่งที่ดีให้กับลูกได้ พ่อแม่ก็จะกลายเป็นศัตรูกับลูก แต่ถ้าพ่อแม่ใส่สิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกก็จะเป็นพระพรหมของลูก คือเป็นผู้ลิขิตชะตากรรมให้กับลูก
สอง เป็นครูคนแรกของลูก พ่อแม่ต้องสอนลูก ตั้งแต่การเอาตัวรอดในโลก สอนความรู้ มารยาท หัดให้เข้าโรงเรียน ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกที่ลูกได้เรียนรู้ล้วนแต่ได้อิทธิพลมาจากพ่อแม่ ฉะนั้น พ่อแม่จึงเป็นเบ้าหลอมของลูก เป็นครูคนแรกของลูก ถามว่าทุกวันนี้ พ่อแม่ให้กำเนิดลูกแล้วเป็นครูของลูกไหม หรือให้พี่เลี้ยงทำแทน
สาม พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ นั่นคือ คุณต้องรักลูกด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่หวังผลอะไรตอบแทนทั้งสิ้น ไม่ใช่มีลูกแล้วแต่ลูกเป็นหมากตัวหนึ่ง เป็นหุ้นตัวหนึ่งที่พ่อแม่ส่งไปลงทุนกับบริษัทนั้น บริษัทนี้ ดันไปแต่งงานกับคนนั้นคนนี้ แล้วคอยเรียกทุนคืน พ่อแม่แบบนี้ ไม่ได้ชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ ฉะนั้น เราจะเห็นได้ว่า ฐานะของพ่อแม่ในทางพุทธศาสนานั้นสำคัญมาก ถามว่าทำไมสถาบันครอบครัวทุกวันนี้จึงมีปัญหา นั่นเป็นเพราะพ่อแม่เริ่มทอดทิ้งหน้าที่ของตนเอง
ถ้าเรากังวลว่าลูกจะลำบากในอนาคตก็แก้ปัญหาให้ลูกตั้งแต่ตอนนี้ ก็คือควรจะสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูก หนึ่ง ให้ลูกเป็นคนที่มีความคิดที่เป็นเหตุเป็นผล เพื่อจะได้อยู่ในสังคมที่มีความซับซ้อนได้อย่างอยู่รอดปลอดภัย
สอง ให้ลูกใฝ่เรียนใฝ่รู้ใฝ่สู้งานหนักเตรียมไว้เนิ่นๆ ความใฝ่เรียนใฝ่รู้จะทำให้เขามีปัญญา ใฝ่สู้งานหนักจะทำให้เขาอยู่ท่ามกลางสังคมที่แก่งแย่งแข่งขันสูงได้ตลอด สาม ให้ลูกใฝ่ดีและใฝ่สูง คือให้เขาใฝ่ธรรมะไว้ตั้งแต่ต้นๆ เพื่อว่าวันหนึ่ง เมื่อเจอวิกฤตการณ์หนักๆ ในชีวิตเขาจะได้มีภูมิคุ้มกันในการกำเนิดชีวิต เจอทุกข์จะได้ไม่พรั่น เจออุปสรรคจะได้ไม่กลัว ผิดหวังจะได้ไม่ทำร้ายตนเอง แล้วก็มองเห็นปัญหาทั้งหลายเป็นที่มาของปัญญา
ทำได้ทั้ง 3 ประการนี้ก็ถือว่าพ่อแม่ได้สร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกแล้วสำหรับภาวะโลกร้อนที่จะตามมาในอนาคต เราต้องเรียนรู้ว่าเด็กทุกคนมีศักยภาพที่จะเป็นโจรก็ได้ มีศักยภาพที่จะเป็นพระอรหันต์ก็ได้ ลูกจะเป็นโจรหรือพระอรหันต์ก็ขึ้นอยู่กับสองมือของพ่อและแม่ เพราะเด็กคือบุตรธิดาของสิ่งแวดล้อม พ่อแม่คือสิ่งแวดล้อมที่ใกล้ชิดที่สุดของลูก ถ้าพ่อแม่เป็นสิ่งแวดล้อมที่ดี ก็ได้ลูกที่ดี เป็นพระอรหันต์ ถ้าพ่อแม่ทำตัวสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดี ลูกก็เป็นโจร ฉะนั้น ลูกจะเป็นโจรหรือเป็นพระอรหันต์ พ่อแม่มีส่วนในคุณสมบัติของลูกด้วยเสมอไป”
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงเสียงส่วนหนึ่งจากท่าน ว.วชิรเมธี ที่น่าจะทำให้เราคนเป็นพ่อแม่ได้ข้อคิดดีๆ ในปีของหนูนะคะ
มีความสุขกับการเป็นพ่อแม่ในทุกวันค่ะ