วงเสวนาไทย–กัมพูชาสะท้อนต่างมุม “เจ้ากรมแผนที่ทหาร” ชี้ปัญหาเขตแดนเป็นมรดกยุคอาณานิคม ย้ำ MOU คือกลไกแก้ปัญหาที่สั่งสมกว่า 20 ปี “สว.ชิบ” เปิด 8 เหตุผล กมธ.วุฒิฯ หนุนยกเลิก MOU 44 ป้องกันไทยเสียผลประโยชน์ทางทะเล นักวิชาการเตือนยกเลิกข้อตกลงอาจทำปัญหาลุกลาม
วันนี้ (21ธ.ค.) ที่โรงแรมดิเอมเมอรัลด์ รัชดา - เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2568 สมาคมผู้สื่อข่าวไทย–จีน จัดเสวนาพิเศษในหัวข้อ “วิกฤตไทย–กัมพูชา : ภูมิรัฐศาสตร์ใหม่ โอกาสธุรกิจและบทบาทสื่อในยุคสงครามข่าวสาร” โดยผู้ร่วมเสวนาประกอบด้วย นายชิบ จิตนิยม สมาชิกวุฒิสภา และรองประธานคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ วุฒิสภา , พลโทชาคร บุญภักดี เจ้ากรมแผนที่ทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย , ผศ.อัครพงษ์ ค่ำคูณ วิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ ดร.กำพล มหานุกูล นายกสมาคมผู้สื่อข่าวไทย–จีน และผู้เข้าร่วมอบรมหลักสูตรผู้บริหารธุรกิจไทย-จีน ของสมาคมผู้สื่อข่าวไทย–จีน เข้าร่วมเวทีเสวนาอย่างพร้อมเพียง
พล.ท. ชาคร บุญภักดี เจ้ากรมแผนที่ทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย บรรยายพร้อมเปิดคลิปวิดีโอเล่าประวัติการจัดทำแผนที่แนวชายแดนไทย–กัมพูชาที่ดำเนินการมากว่า 20 ปี โดยระบุว่าแนวเขตแดนไทย–กัมพูชามีความยาวประมาณ 798 กิโลเมตร พาดผ่าน 7 จังหวัด ได้แก่ บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี สระแก้ว จันทบุรี และตราด แนวเขตแดนส่วนหนึ่งอาศัยสันปันน้ำของเทือกเขาดงรัก ลำน้ำ และแนวภูมิประเทศตามธรรมชาติ
เส้นเขตแดนดังกล่าวยึดหลักจากสนธิสัญญาสยาม–ฝรั่งเศส ปี ค.ศ.1904 และ 1907 และเป็นฐานของการดำเนินการตาม MOU ไทย–กัมพูชา ปี 2543 ซึ่งถือเป็นมรดกจากยุคอาณานิคมที่การปักปันเขตแดนยังไม่แล้วเสร็จ หลายพื้นที่ยังมีความคลุมเครือในทางปฏิบัติ โดยหากเส้นเขตแดนทางกฎหมาย (Boundary) ไม่ชัดเจน ย่อมส่งผลให้การบริหารพื้นที่ชายแดน (Border) เกิดความขัดแย้งอย่างต่อเนื่อง
“สนธิสัญญาสยาม–ฝรั่งเศส ปี 1904 และ 1907 ถือเป็นต้นตอทางกฎหมายของเส้นเขตแดนไทย–กัมพูชา และยังส่งผลต่อข้อพิพาทชายแดนและการเจรจาจนถึงปัจจุบัน ปัญหาสำคัญประการหนึ่งคือแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งเป็นแผนที่มาตราส่วนหยาบ มีความคลาดเคลื่อนเมื่อเทียบกับสภาพพื้นที่จริง และนำไปสู่การตีความเส้นเขตแดนที่ไม่ตรงกันระหว่างสองประเทศ
อย่างไรก็ตาม ในการดำเนินการปักปันเขตแดน ไทยไม่ได้ยึดแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 หรือ 1:50,000 เป็นตัวตั้งตามที่สังคมเข้าใจกัน แต่ยึดแนวเขตแดนตามที่สนธิสัญญากำหนดไว้เป็นหลัก โดยแผนที่เป็นเพียงเครื่องมือประกอบการทำงาน
สำหรับพื้นที่ที่ยังไม่ได้ปักปันหรือดำเนินการยังไม่แล้วเสร็จ จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น LiDAR ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่มีความแม่นยำและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล เข้ามาช่วยในการจัดทำแผนที่โดยเฉพาะการใช้แนวสันปันน้ำ ลำคลองและการลากเส้นตรงในจุดที่ไม่มีการปักหมุดอย่างชัดเจนเช่นพื้นที่ชายแดนศรีสะเกษไปจนถึงอุบลราชธานี
ซึ่งการใช้เทคโนโลยี LiDAR อาจใช้เวลาอีกประมาณ 10 ปีจึงจะแล้วเสร็จ เมื่อการปักปันเขตแดนแล้วเสร็จ จะมีการจัดทำแผนที่อ้างอิงหลักในมาตราส่วน 1:25,000 เพื่อใช้ในการปฏิบัติงานต่อไป อย่างไรก็ดี หากมีการยกเลิก MOU ปี 2543 จะทำให้กลไกการควบคุมและบริหารสถานการณ์ชายแดนที่ดำเนินมากว่า 20 ปีสิ้นสุดลง ซึ่งถือเป็นเรื่องน่าเสียดายต่อความพยายามที่สั่งสมมาโดยตลอด”
ด้าน ผศ.อัครพงษ์ ค่ำคูณ อาจารย์ประจำวิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า MOU ไทย–กัมพูชา ปี 2543 และข้อตกลงที่เกี่ยวเนื่อง เป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการความขัดแย้ง ไม่ใช่การยอมรับเส้นเขตแดน โดยการแก้ไขปัญหาควรใช้การเจรจาแบบทวิภาคี ผ่านกลไกหลัก 3 ระดับ ได้แก่ 1) GBC ระดับนโยบาย 2) JBC ระดับเทคนิคและการสำรวจเขตแดน และ 3) RBC ระดับปฏิบัติในพื้นที่ ซึ่งควรใช้กลไกทั้งสามระดับควบคู่กัน โดยอาศัยข้อมูลข้อเท็จจริงเป็นฐาน
ผศ.อัครพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้ไทยจะมีศักยภาพด้านความมั่นคงสูงกว่ากัมพูชาในหลายมิติ แต่การใช้กำลังไม่ใช่คำตอบ เพราะอาจนำไปสู่สถานการณ์ที่ทั้งสองฝ่ายเสียประโยชน์ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและภาพลักษณ์ของประเทศ อีกทั้งยังมีความเสี่ยงที่จะตกเป็นเครื่องมือในเกมภูมิรัฐศาสตร์ของมหาอำนาจ โดยเฉพาะการแข่งขันอิทธิพลระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกาในภูมิภาค
ผศ.อัครพงษ์ เสนอให้ปรับกรอบความคิดจากการยึดติดกับอารมณ์ชาตินิยม มาเป็นการบริหารจัดการเชิงยุทธศาสตร์ ภายใต้แนวคิด “เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า” ผ่านการสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและความร่วมมือเชิงธุรกิจ ใช้การทูต การเจรจาด้วยความสุจริตใจ และความร่วมมือทางเศรษฐกิจเป็นเครื่องมือหลักในการรักษาผลประโยชน์ของชาติอย่างยั่งยืน พร้อมเรียกร้องให้ภาครัฐ ภาคเอกชน และสังคม ร่วมกันสื่อสารข้อมูลที่ถูกต้อง ลดความเข้าใจผิด และยกระดับวุฒิภาวะทางสังคมในการจัดการปัญหาชายแดนไทย–กัมพูชาอย่างมีเหตุผล
“MOU ปี 2543 เป็นกลไกป้องกันความขัดแย้ง ไม่ใช่ต้นเหตุของปัญหา การรักษาผลประโยชน์ของชาติจำเป็นต้องอาศัยความแม่นยำทางแผนที่ การเจรจา และวุฒิภาวะทางการเมือง ขณะที่การใช้กำลังหรือการยกเลิกข้อตกลง อาจทำให้ไทยเสียเปรียบในระยะยาว” ผศ.อัครพงษ์กล่าวย้ำ
ด้านนายชิบ จิตนิยม รองประธานกรรมาธิการการต่างประเทศ วุฒิสภา ในฐานะสมาชิกคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาข้อดีข้อเสียของการยกเลิก MOU ปี 2543 และ MOU ปี 2544 เพื่อแก้ไขปัญหาชายแดนไทย–กัมพูชา กล่าวว่า วุฒิสภาได้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นเพื่อพิจารณาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเนื้อหาของ MOU ทั้งสองฉบับตั้งแต่เดือนตุลาคมที่ผ่านมา โดยมีการขยายระยะเวลาการศึกษาเพิ่มเติมอีก เนื่องจากเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและมีข้อมูลในชั้นความลับที่ต้องศึกษาอีกมาก จึงมีการขยายระยะเวลาศึกษาอย่างต่อเนื่อง
นายชิบ ระบุว่า MOU ปี 2543 เป็นข้อตกลงเกี่ยวกับเขตแดนทางบก ซึ่งเป็นกรอบความเข้าใจเพื่อบริหารจัดการข้อพิพาทชายแดนที่มีมาอย่างยาวนาน ขณะที่ MOU ปี 2544 เป็นบันทึกความเข้าใจเกี่ยวกับพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเล ซึ่งไทยและกัมพูชามีพื้นที่ทับซ้อนในอ่าวไทยประมาณกว่า 26,000 ตารางกิโลเมตร ที่ยังไม่มีการปักปันเขตแดนทางทะเลอย่างเป็นทางการ
โดยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา คณะกรรมาธิการมีมติเป็นเอกฉันท์เห็นควรให้ยกเลิก MOU ปี 2544 ด้วยเหตุผล 8 ประการ อาทิ การประกาศเส้นเขตไหล่ทวีป พ.ศ. 2515 ของกัมพูชาที่ละเมิดอธิปไตยไทย การไม่ปฏิบัติตาม MOU และการละเมิดอธิปไตยอย่างต่อเนื่องของฝ่ายกัมพูชา การอ้างสิทธิเกาะกูดที่ไม่เกี่ยวข้องกับเขตแดนทางทะเล การเจรจาตามกรอบ UNCLOS 1982 ที่ยืดเยื้อโดยไม่เกิดผล รวมถึงปัจจัยทางการเมืองและสังคมของกัมพูชาที่ไม่เอื้อต่อการเจรจาอย่างสร้างสรรค์ พร้อมเสนอให้แสวงหาข้อตกลงชั่วคราวรูปแบบใหม่เพื่อแก้ทางตัน และเสริมอำนาจต่อรองของไทยในเวทีระหว่างประเทศ
นายชิบ กล่าวเพิ่มเติมว่า คณะกรรมาธิการวิสามัญชุดนี้ได้แถลงผลการศึกษาอย่างเป็นทางการแล้ว และส่งรายงานให้วุฒิสภาเพื่อนำเสนอต่อรัฐบาลพิจารณาดำเนินการต่อไป อย่างไรก็ดี เนื่องจากอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านทางการเมืองภายหลังการยุบสภา เรื่องดังกล่าวจึงอยู่ระหว่างรอการพิจารณาของรัฐบาลชุดถัดไป โดยคณะกรรมาธิการยังได้เสนอข้อแนะนำ 8 ประการต่อรัฐบาล อาทิ การดำเนินการยกเลิกข้อตกลงตามกรอบอนุสัญญากรุงเวียนนา และการเร่งเจรจาแบ่งเขตทางทะเลตามมาตรฐานสากล


