ทรงฤทธิ์ โพนเงิน หรือเคิร์ก อดีตผู้สื่อข่าว ที่บัดนี้ผันตัวออกมาในนามนักวิชาการอิสระไร้สังกัด เขากลายเป็นคนฮอตฮิตในช่วงความขัดแย้งไทย-กัมพูชาที่ยึดครองหน้าสื่อเกือบทุกช่อง ทรงฤทธิ์ออกมาแสดงจุดยืนชัดว่า “ไม่ควรยกเลิก MOU 2543” พร้อมอ้างเหตุผลว่า หากไทยเป็นฝ่ายยกเลิก จะเข้าทางฮุนเซน เพราะอดีตนายกฯ กัมพูชาต้องการให้ไทยทำลายข้อตกลง เพื่อใช้โจมตีในเวทีระหว่างประเทศ
แต่ข้อเท็จจริงทั้งหมดกลับสวนทาง ไม่มีเอกสารหรือคำแถลงใดจากรัฐบาลกัมพูชาที่ระบุว่า “ฮุนเซน อยากให้ไทยยกเลิก MOU 2543” ตรงกันข้าม ฝ่ายกัมพูชากลับประกาศซ้ำๆ ว่า “MOU 2543 ยกเลิกฝ่ายเดียวไม่ได้” และยังมีผลบังคับจนกว่าการปักปันเขตแดนจะแล้วเสร็จ
นั่นหมายความว่า สิ่งที่ทรงฤทธิ์พูดไม่ได้ตั้งอยู่บนข้อเท็จจริงแต่บน “วาทกรรมที่สร้างขึ้นเพื่อข่มฝ่ายที่เห็นต่าง” ให้รู้สึกกลัวว่าจะเสียหน้าในเวทีโลก ทั้งที่ในความจริง ฝ่ายกัมพูชาเป็นผู้ยึดMOU ฉบับนี้ไว้ใช้ต่อรองกับไทย ใช้เป็นเครื่องมือผูกพันให้ไทยเคลื่อนไหวลำบาก และนำไปตีความในเวทีระหว่างประเทศเพื่อสร้างความได้เปรียบ
ตลอดกว่า 20 ปีที่ผ่านมา MOU 2543 ไม่ได้ป้องกันความขัดแย้งเลย กลับกลายเป็นกรอบที่เปิดช่องให้กัมพูชา “ละเมิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า” โดยไม่มีบทลงโทษหรือกลไกใดบังคับใช้ได้จริง ไม่รู้ว่าใช้กระดาษกี่รีม ส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ไปกี่ครั้ง จากการละเมิดหลายร้อยครั้งของกัมพูชา ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่า MOU ไม่ได้มีความหมายอะไร
ตั้งแต่ปี 2544 กัมพูชาส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาปักหลักในเขตดงรักใกล้ปราสาทตาควาย ซึ่งอยู่ในพื้นที่ที่ไทยถือครองมาตั้งแต่รัชกาลที่ ๕ ถือเป็นการละเมิดข้อ 5 ของ MOU ที่ห้ามเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่พิพาท
ปี 2551 เมื่อกัมพูชาประกาศขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกฝ่ายเดียว ทั้งที่พื้นที่รอบปราสาทยังอยู่ระหว่างการเจรจาในกรอบ MOU การกระทำนั้นคือการละเมิดเจตนารมณ์ของข้อตกลงโดยตรง
ปี 2553–2554 ทหารกัมพูชาเข้ามาสร้างค่ายถาวรในเขตภูมะเขือและบ้านภูมิโป่ง ไทยต้องประท้วงหลายครั้งแต่ไม่เคยได้รับการถอนสิ่งปลูกสร้าง
มีการปะทะกันในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2554 บริเวณภูมิซรอล ภูมะเขือ ดอนตวน บริเวณชายแดนในจังหวัดศรีสะเกษและสุรินทร์ มีการยิงปืนใหญ่และอุปกรณ์หนักเข้าใส่กันจนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บทั้งทหารและพลเรือน
ปี 2561–2568 ยังคงพบการสร้างถนนและชุมชนใหม่ของกัมพูชาในเขตชายแดนบุรีรัมย์–ศรีสะเกษ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้น “ภายใต้ MOU เดิม” ที่ห้ามทั้งสองฝ่ายเปลี่ยนแปลงพื้นที่พิพาท จนเกิดการปะทะกัน 5 วัน 4 คืน ตลอดแนวชาวแดนไทยที่อยู่ภายใต้การดูแลของกองทัพภาคที่ 2 และบริเวณชายแดนจันทบุรี-ตราดที่อยู่ภายใต้การดูแลของนาวิกโยธิน ทำให้ทหารไทยและพลเรือนเสียชีวิต จนมหาอำนาจเข้าแทรกแซงทำให้เกิดการหยุดยิง
ถามจริง MOU ที่หยุดการละเมิดไม่ได้เลย ยังสมควรเรียกว่า“ข้อตกลงเพื่อสันติภาพ” หรือไม่? เมื่ออีกฝ่ายใช้มันเป็นเครื่องมือปกป้องการรุกของตนเอง แต่เราใช้มันเป็นเหตุผลที่จะนิ่งเฉย นั่นไม่ใช่สันติภาพ แต่มันคือ “ความเงียบที่ถูกบังคับ”
ทรงฤทธิ์อ้างว่า “MOU ทำให้เกิดเสถียรภาพ” แต่ในความจริง มันเพียงสร้างภาพลวงของสันติภาพ ที่อีกฝ่ายละเมิดได้โดยไม่มีผลทางกฎหมาย ไทยต้องอดทนกับการถูกแทรกซึม รุกล้ำ และสร้างสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่ที่เรายังถือสิทธิ์อยู่
หาก MOU มีประสิทธิภาพจริง ปราสาทพระวิหารคงไม่กลายเป็นสมรภูมิเลือดในปี 2554 และเกิดขึ้นล่าสุดในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
หาก MOU ได้ผลจริง บ้านท่าเส้น–ทมอดา คงไม่กลายเป็นทางผ่านของทุนสีเทาและแรงงานผิดกฎหมาย และหาก MOU สร้างสันติภาพจริง วันนี้คงไม่มีถนนลูกรังที่ฝ่ายกัมพูชาวางทับแนวชายแดนอยู่ตรงหน้า สิ่งที่เราเรียกว่า “การรักษา MOU เพื่อสันติภาพ” แท้จริงคือการรักษาความเสียเปรียบไว้ด้วยความเกรงใจทางการทูต มันคือกรงที่ล่ามมือไทย แต่เปิดประตูให้อีกฝ่ายเดินเข้ามาได้โดยไม่ต้องรับผิด
การยกเลิก MOU 2543 จึงไม่ใช่การเผาเรือหนีการเจรจา แต่คือการ “ปลดล็อกทางยุทธศาสตร์” เพื่อคืนอำนาจอธิปไตยให้กับประเทศ และเริ่มสร้างกรอบใหม่ที่เสมอภาคกว่าเดิม
โต๊ะที่ขาไม่เท่ากัน ไม่ควรใช้ต่อ ถึงเวลาที่ไทยต้องตั้งโต๊ะใหม่ ที่มั่นคงกว่าและเคารพกันอย่างแท้จริง
ในมิติของกฎหมายระหว่างประเทศ การยกเลิก MOU 2543 ไม่ได้เป็นการละเมิดแต่อย่างใด
อนุสัญญากรุงเวียนนา ค.ศ. 1969 ว่าด้วยกฎหมายสนธิสัญญา ซึ่งกัมพูชาเองก็อ้างอยู่เสมอ ได้ระบุในมาตรา 60 ว่า “หากคู่ภาคีฝ่ายหนึ่งละเมิดพันธกรณีอย่างมีนัยสำคัญ (material breach) อีกฝ่ายมีสิทธิระงับหรือยุติการปฏิบัติตามข้อตกลงนั้นได้ทั้งหมดหรือบางส่วน”
กัมพูชาได้ละเมิดพันธกรณีภายใต้ MOU นี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกตลอดกว่า 20 ปี ทั้งในแง่การรุกล้ำ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในเขตพิพาท และการสร้างชุมชนใหม่ในพื้นที่ที่ยังไม่ได้ตกลงแนวเขต สิ่งเหล่านี้คือ material breach ชัดเจน
ดังนั้น การที่ไทยจะยุติหรือถอนตัวจาก MOU จึงไม่ใช่การละเมิด แต่เป็นการใช้สิทธิตามกฎหมายระหว่างประเทศเพื่อปกป้องตนเอง ในทาง “จริยธรรมของรัฐ” ก็เช่นกัน การยืนอยู่ในข้อตกลงที่อีกฝ่ายละเมิดซ้ำๆ เท่ากับเรายอมรับความไม่ยุติธรรมและปิดตาไม่มองความจริง เพราะสันติภาพที่เกิดจากการยอมจำนนของฝ่ายเดียว ไม่ใช่สันติภาพ แต่คือ “ความไม่เสมอภาคที่ถูกทำให้ดูชอบธรรม”
การยกเลิก MOU 2543 ไม่ได้หมายความว่าไทยจะไม่เจรจากับกัมพูชา ตรงกันข้าม มันคือการ “เปิดประตูสู่การเจรจาใหม่” บนเงื่อนไขที่เท่าเทียมกว่า
เมื่อข้อตกลงเก่าหมดศักดิ์สิทธิ์จากการละเมิดซ้ำซาก สิ่งที่ควรทำไม่ใช่เก็บไว้ด้วยความกลัว แต่คือการกล้ายืนขึ้นและเริ่มต้นใหม่ ด้วยกรอบที่ปกป้องผลประโยชน์ของชาติอย่างแท้จริง
กว่า 24 ปีแล้ว ที่ไทยแบกรับ MOU ฉบับนี้โดยเชื่อว่า “การอดทนคือความสงบ” แต่โลกเปลี่ยนไปแล้ว และสันติภาพที่แท้จริงไม่ได้เกิดจากการก้มหน้าให้ความอยุติธรรม MOU 2543 เคยถูกจารึกว่าเป็นเอกสารแห่งมิตรภาพ แต่วันนี้มันกลายเป็นกรอบที่จำกัดศักยภาพของไทย ถึงเวลาที่ต้องเขียนบทใหม่ด้วยมือของเราเอง
การยกเลิก MOU 2543 จึงไม่ใช่การถอยหลังเข้าคลอง แต่คือการเดินหน้าอย่างมีศักดิ์ศรี ด้วยความเข้าใจว่า ชาติที่เคารพในอธิปไตยของตนเอง ย่อมมีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธกรอบที่อีกฝ่ายไม่เคารพ และนั่นต่างหาก คือสันติภาพที่แท้จริง สันติภาพที่เกิดจากความเสมอภาค ไม่ใช่ความกลัว
ในขณะที่ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ และสำนักบ้านพระอาทิตย์ ซึ่งติดตามเรื่องนี้มา 14 ปี ยืนอยู่ในจุดตรงข้ามกับทรงฤทธิ์
ถ้าทรงฤทธิ์มั่นใจว่า ไทยควรจะกอด MOU เอาไว้ ก็เอาข้อมูลของตัวเองมาขึ้นโต๊ะดีเบต เพื่อช่วยกันหาทางออกที่ดีที่สุดสำหรับประเทศชาติ หากความเห็นความเชื่อและความคิดใครมีน้ำหนักที่มากกว่า ใครล่ะที่ได้ประโยชน์ถ้าไม่ใช่ประเทศชาติของเรา และประชาชนที่รับฟังจะได้เปิดหูเปิดตาหากมันต้องขึ้นสู่การประชามติจริง แม้ว่าตอนนี้เสียงส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่รัฐบาลอนุทินจะผลักภาระนี้ไปให้ประชาชนก็ตาม
ฟังดูชื่อของทั้งสองก็ดูจะเหมาะสมกันดี คนหนึ่ง “ทรงฤทธิ์”คนหนึ่ง “ปานเทพ” ไสช้างออกมาดีเบตกันเถอะ เพื่อประโยชน์ของประชาชนและประเทศนี้
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan