xs
xsm
sm
md
lg

“เอกนิติ” ชู Quick Big Win เพื่อ SMEs ให้ บสย.ค้ำ-รัฐออกค่าธรรมเนียม ง่ายต่อแบงก์ปล่อยกู้ จ่อให้ดอกต่ำออมสิน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



รมว.คลัง เผย มาตรการ Quick Big Win เพื่อ SMEs ไทย ให้ บสย. ค้ำประกัน-รัฐออกค่าธรรมเนียม ง่ายต่อแบงก์ปล่อยกู้ พร้อมปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำผ่านออมสิน เป็นสินเชื่อระยะยาว

วันนี้ (2 ธ.ค.) นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกฯ และ รมว.คลัง แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี ถึงมาตรการ Quick Big Win เพื่อ SMEs ไทย ว่า ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรีที่ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาว่าจะฟื้นเศรษฐกิจ นโยบาย Quick Big Win “กระตุ้นสั้นได้ผลยาว กระจายตัว” วันนี้จะเป็นอีกเสาสำคัญคือเรื่อง SMEs

โดยเสาที่ 1 จะฟื้นเศรษฐกิจ คือ โครงการคนละครึ่งพลัส, เสาที่ 2 คือ การปรับโครงสร้างหนี้ หนี้ของหนี้ครัวเรือนลดลง ส่วนเสาที่ 3 คือ SMEs ไทย ที่ขาดลมหายใจ ตอนนี้สภาพคล่องหาย ต้องเติมน้ำมันเข้าไป ในส่วนนี้ทำให้ SMEs กลับมาแข็งแรงขึ้น

การออกแบบนโยบายนี้จะเป็นแพกเกจใหญ่ที่บูรณาการร่วมมือกันทุกภาคส่วน ทั้งสถาบันการเงินต่างๆ การคลัง ภาษี และหน่วยงานภาครัฐทั้งหมด มีจุดประสงค์ 2 อย่าง คือ 1. ทำให้ SMEs ไทย ผู้ประกอบการไทย 90% มีลมหายใจอยู่รอดในระยะสั้น และเราก็ต้องการได้ผลยาวคือยืนให้ได้แข็งแรง เข้มแข็ง เพราะฉะนั้นการออกแบบนโยบายเสารนี้จึงต้องเติมสภาพคล่อง และลดดอกเบี้ย ลดต้นทุน ให้เขาเข้าถึงสภาพคล่องได้ง่ายขึ้น พร้อมปรับระบบนิเวศในการให้สินเชื่ออย่างเป็นระบบ เพื่อให้เข้าสู่สภาพคล่องได้ง่ายขึ้น 2. เพิ่มประสิทธิภาพ คือ ทำให้ประกอบธุรกิจได้ง่ายขึ้น ลดต้นทุน เอาดิจิทัลมาช่วย เอาเทคโนโลยีใหม่ๆ มาช่วย เช่นเดียวกับที่ทำในคนละครึ่งพลัส ที่ให้คนเพิ่มทักษะ reskill วันนี้ SMEs มาเพิ่ม ก็จะให้มีทักษะสมัยใหม่ จะได้แข่งขันได้

สุดท้ายหัวใจสำคัญนี้ ก็คือ การเพิ่มโอกาส ในการเข้าถึงแหล่งที่จะสามารถขายของได้ เราจะมีโครงการพี่ช่วยน้องที่จะเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทาน จะได้ไม่ต้องยืนโดดเดี่ยวคนเดียว จะมีโอกาสในการเข้าสู่การพัฒนาศักยภาพธุรกิจ เอาดิจิทัลมาใช้ มีแพลตฟอร์มใหม่ให้โตต่อไป จะได้กลับมายืนได้อย่างแข็งแรง นี่คือ 3 หัวใจหลักของโครงการ Quick Big Win เพื่อ SMEs ไทย

โดยโครงการที่ 1 เสริมสภาพคล่องและลดต้นทุน โครงการทั้งหมดเป็นโครงการที่ใหญ่มาก 315,000 ล้านบาท ด้วยการเสริมสภาพคล่องและลดต้นทุน ตัวนี้ประกอบด้วย 1. เราต้องการให้เข้าถึงสภาพคล่องง่ายขึ้น ทุกวันนี้แบงก์ไม่ค่อยปล่อยกู้ให้ SMEs เพราะกลัวความเสี่ยง เราจึงมีกลไกค้ำประกัน คือ บสย. ซึ่งจะใช้วงเงินในนี้ 50,000 ล้านบาท และรัฐบาลออกค่าธรรมเนียมให้ 3 ปี เพื่อจะได้ค้ำประกันทำให้แบงคก์ล้าปล่อยสินเชื่อมากขึ้น

ขณะเดียวกัน ตนและทีมงานกระทรวงการคลัง ได้คุยกับ ธนาคารแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย กำลังออกแบบกองทุนค้ำประกันอีกกองทุนหนึ่ง มาเสริมกับ บสย. จะทำให้แบงก์กล้าปล่อยสินเชื่อให้กับ SMEs มากขึ้น จะเป็นการต่อลมหายใจ ง่ายๆ ก็คือ ถ้ามีหนี้เสีย ก็มาเคลมจาก บสย. หรือกองทุนที่ทางแบงก์ชาติ กับ สมาคมธนาคารไทย ร่วมกับกระทรวงการคลัง จะทำขึ้นมา จะเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น ช่วย SMEs ได้เยอะมาก อันนี้คือการจะเปลี่ยนระบบนิเวศในการเข้าสู่สินเชื่อของ SMEs

และยังมีเรื่องของซอฟต์โลน จากเหตุการณ์ภาคใต้ SMEs เดือดร้อนมาก เพราะฉะนั้นก็ต้องเข้าไปช่วย จึงทำโครงการ SMEs เรื่องซอฟต์โลน โดยผ่านออมสิน ออมสินจะปล่อยซอฟต์โลน 0.01% ให้กับแบงก์รัฐและแบงก์เอกชน เพื่อไปปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ 3.5% อันนี้จะเป็นสินเชื่อระยะยาว เพื่อให้ต้นทุนของ SMEs ต่ำลง เข้าถึงง่ายขึ้น และมีการค้ำประกันมาช่วยด้วย ตรงนี้แบงก์ออมสินจะเป็นฐานในการให้ซอฟต์โลนกับแบงก์ต่างๆ แต่จะมีแบงก์สถาบันการเงินของรัฐ 7 แห่ง มาร่วมด้วย ไม่ว่าจะเป็นออมสินทำเอง, ธ.ก.ส. จะมาช่วยเรื่องเกษตรกร, SMEs ซึ่งเป็น SMEs แบงก์, Exim Bank ช่วยเรื่องส่งออก มีค้ำประกันการส่งออก ทำให้ส่งออกง่ายขึ้น, สินเชื่อของมุสลิม ผ่านธนาคารอิสลาม, สินเชื่อในเรื่องของอสังหาริมทรัพย์ ของ ธอส. แบงก์รัฐทั้งหมด รายละเอียดอยู่ในแถลงข่าว แต่ทั้งหมดเม็ดเงินวงเงินสินเชื่อ 217,000 ล้านบาท เป็นตัวที่ช่วยให้เติมสภาพคล่อง และลดต้นทุนผ่านดอกเบี้ยต่ำ ไปช่วย SMEs

ทั้งนี้ เราไม่ได้แค่จับมือกับสถาบันการเงินของรัฐ แต่กรมสรรพากรยังมีค้างคืนเงิน SMEs อยู่ ซึ่งทั้งหมดจะให้คืน SMEs โดยเฉพาะภาษีเงินได้นิติบุคคลทั้งหมด 60,000 ล้านบาท จะให้คืนเข้าสู่ระบบภายในเดือนธันวาคมนี้ ให้กับ SMEs ที่มีรายได้ต่ำกว่า 500 ล้านบาท ให้เข้าสู่ระบบประมาณ 20,000 ราย จะได้เงินประมาณ 6 หมื่นล้าน ที่ค้างคืนอยู่ ซึ่งเม็ดเงินนี้ก็จะไปฟื้นเศรษฐกิจไตรมาส 4 จะทำให้สภาพคล่องกลับขึ้นมา เพราะฉะนั้นเราใช้ทุกเครื่องมือมาช่วย เราต้องการให้ SMEs มีลมหายใจ กลับมาฟื้นชีวิตได้ดีขึ้น

ถัดมา มาตรการที่ 2 การเพิ่มประสิทธิภาพ เราไม่ได้ต้องการให้เขาได้สินเชื่อ หรือลมหายใจ แต่กลับมาหมดแรง หมดลม แต่ต้องการให้เขาเติบโตอย่างยั่งยืนมีแพกเกจในการเพิ่มประสิทธิภาพ ให้ทำธุรกิจได้ขึ้น และเข้าสู่การดำเนินธุรกิจได้ดียิ่งขึ้น ตรงนี้จะเป็นการทำให้ SMEs เข้าไปสู่ห่วงโซ่อุปทานของบริษัทใหญ่ เพราะฉะนั้นจะใช้กลไกทางภาษี มาตรการทางภาษีของกรมสรรพากรมาให้บริษัท โดยเริ่มต้นจากบริษัทตลาดหลักทรัพย์ขนาดใหญ่มาช่วยน้อง และให้หักลดหย่อนภาษี โดยเฉพาะการที่สามารถมาทำเรื่องดิจิทัลได้มากขึ้น ให้พี่ออกให้น้อง เช่น ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ หักภาษีได้ 1.5 เท่า น้องก็จะเข้าไปอยู่ในซัปพลายเชน ที่สำคัญจะให้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์นั้นเข้าไปวางในระบบใหม่ ที่เรียกว่าระบบพร้อมบิส ซึ่งสมาคมธนาคารไทยจับมือกับแบงก์ชาติ และกรมสรรพากร เมื่อ SMEs ไปขายของให้บริษัทยักษ์ใหญ่ ออกบิลขึ้นมา แต่กว่าจะได้รับเงินก็ประมาณ 3 เดือน 6 เดือน จะเอาบิลอิเล็กทรอนิกส์ไปวางบนระบบพร้อมบิส แบงก์ต่างๆ ก็กล้าปล่อยกู้ เพราะอย่างน้อยก็มีคนมาจ่ายเงินให้กับ SMEs แน่นอน อันนี้จะเปลี่ยนระบบนิเวศการทำงานของ SMEs ไทย ไม่ได้ช่วยแค่สั้นๆ แต่ได้ผลยาว ซึ่งพร้อมบิสก็จะไปคู่กับพร้อมเพย์

นายเอกนิติ กล่าวต่อว่า SMEs ไม่มีเงินมาพัฒนา AI ออโตเมชัน ดังนั้น รมว.ดีอี ได้พยายาม สนับสนุนทุกอย่าง แต่เราก็อยากให้ SMEs สามารถพัฒนาธุรกิจเข้าสู่ดิจิทัล เรียกว่า business transformation ลดต้นทุนใช้ AI ใช้ออโตเมชัน เราจะมีสินเชื่อและเงินช่วยเหลือ เงินอุดหนุนที่มาสมทบ เงินสินเชื่อจะผ่านธนาคารของรัฐต่างๆ และธนาคารเอกชน และจะจับมือกับกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน สภาอุตฯ สภาหอฯ สมาคมธนาคารไทย เข้ามาช่วยกันทำเรื่องนี้ และจะมีเงินอุดหนุน 2 แหล่ง คือ สสว. และบีโอไอ มาลงทุนวิจัยพัฒนาคนละครึ่ง จะได้มีการพัฒนาศักยภาพ สุดท้ายจะมีสินเชื่อที่บอกว่าประเทศไทยเก่งเรื่องอะไร แล้วสินเชื่อเหล่านี้เป็นการยกระดับสู่ศักยภาพธุรกิจ จะทำให้เมืองไทยกลับมามีโอกาสเชิดชูในเวทีโลก เราจะมีทั้งบีโอไอ สนับสนุนธุรกิจขนาดใหญ่ และ SMEs จะเข้าไปต่อยอด เป็นพี่ช่วยน้อง นี่คือการเพิ่มประสิทธิภาพของ SMEs

สุดท้าย ต้องการเพิ่มโอกาสให้ SMEs ไทย ให้แต้มต่อ ทั้งตลาดใหม่ งานใหม่ และแพลตฟอร์มใหม่ เราจะมีงบประมาณให้กลไกการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ อันนี้ร่วมมือกับสภาอุตฯ สภาหอฯ สมาคมธนาคารไทย เราจะให้แต้มต่อ SMEs ไทยได้ทั้งหมดสูงสุด 20% เป็น SMEs ไทยได้แต้มต่อในกระบวนการจัดซื้อภาครัฐ SMEs ได้แต้มต่อ 10% ถ้าเป็นของ ทำประเทศไทย เมดอินไทยแลนด์ได้อีก 5% แต่ถ้าใช้อิเล็กทรอนิกส์ tax invoice ได้อีก 5% สูงสุดคือ 20% เพราะฉะนั้น SMEs ไทยจะได้แต้มต่อของการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ที่สำคัญพอเป็น e tax มันจะเข้าระบบพร้อมบิส เวลารัฐจ่ายเงินช้า e tax invoice จะถูกไปวางที่พร้อมบิส ใครจะจ่ายเงินช้า ตรวจรับช้า ก็จะได้รับเงินจากระบบอันใหม่ เป็นการเปลี่ยนภาพยกระดับ SMEs ไทยจริงๆ และกระทรวงพาณิชย์ จะเสนอแพลตฟอร์ม อี-คอมเมิร์ซของประเทศไทย จะทำให้ระบบแต้มต่อของธุรกิจไทย อี-คอมเมิร์ซเข้าไปเป็น อี-คอมเมิร์ซของเมืองไทย เป็นการยกระดับ SMEs ระบบ


กำลังโหลดความคิดเห็น