กทท.บูมท่าเรือระนอง Gateway สู่ภูมิภาค BIMSTEC ผนึกเอกชน เปิดขนส่งสินค้าต่อเนื่องหลายรูปแบบ เที่ยวปฐมฤกษ์ พร้อมเร่งอัพเกรด ซ่อมเครน คาดจบปี 68 มีกำไร 5 ล้านบาท หลังขาดทุนมา 20 ปีพร้อมขับเคลื่อน Sandbox ให้”แลนด์บริดจ์”
วันที่ 23 กันยายน 2568 ณ ท่าเรือระนอง การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ได้จัดพิธีเปิดโครงการขนส่งสินค้าต่อเนื่องหลายรูปแบบ (Multimodal Transport) เส้นทาง สปป.จีน–ลาว–ไทย–เมียนมา–กลุ่ม BIMSTEC พร้อมเปิดการขนส่งเที่ยวปฐมฤกษ์ไปยังท่าเรือย่างกุ้ง ประเทศเมียนมา เพื่อประชาสัมพันธ์เส้นทางการขนส่งสินค้าใหม่ในรูปแบบ Multimodal Transport ที่เชื่อมโยงการขนส่งหลายรูปแบบทั้งทางรถบรรทุก ทางรถไฟ และทางเรือเข้าด้วยกันอย่างไร้รอยต่อ โดยมีท่าเรือระนองเป็นจุดเชื่อมโยงยุทธศาสตร์ ที่สามารถขยายโอกาสทางการค้าและการลงทุนในภูมิภาคอาเซียนและเอเชียใต้ ตลอดจนสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้า ผู้ประกอบการ ผู้รับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศและสายการเดินเรือ
นายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการ กทท. กล่าวว่า ท่าเรือระนองจึงพร้อมทำหน้าที่เป็น Gateway สู่ภูมิภาค BIMSTEC การเปิดเส้นทาง Multimodal Transport ครั้งนี้ เป็นความร่วมมือของภาคเอกชนบริษัท ไทยทรานสปอร์ต เซ็นเตอร์ จำกัด (TTC) ร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ ได้แก่ บริษัท เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) บริษัท Ever Flow River Group Public Co., Ltd. จากเมียนมา บริษัท เอสพีที สมาร์ท ครีเอชั่น จำกัด ที่รวมการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ จากเดิมที่ขนส่งสินค้าเทกอง และจะเชื่อมจากประเทศจีนตอนใต้ไปยังเมียนมาและกลุ่มประเทศ BIMSTEC ซึ่งการขนส่งสินค้าจากท่าเรือระนองไปยังประเทศต่าง ๆ จะใช้เวลาเดินทางเพียง 3 วันถึงท่าเรือย่างกุ้ง เมียนมา, 4 วันถึงท่าเรือจิตตะกอง ประเทศบังคลาเทศ, 6 วันถึงท่าเรือเจนไน ประเทศอินเดีย และท่าเรือโคลัมโบ ประเทศศรีลังกา จากเดิมที่ต้องใช้เวลาประมาณ 14 - 21 วัน แสดงถึงศักยภาพในการลดระยะเวลาและต้นทุนการขนส่ง
กลุ่ม BIMSTEC (บังกลาเทศ ภูฏาน อินเดีย เมียนมา เนปาล ศรีลังกา และไทย) เป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงและกำลังซื้อเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดย จ.ระยองมีประชากร 2 แสนคน แต่สามารถเชื่อมเป็นสะพานเศรษฐกิจกลุ่ม BIMSTEC นับรวมทั้งหมดประชากร ถึง 2,000 ล้านคน
“ปัจจุบัน ท่าเรือระนอง ยังไม่มีสายเรือเข้ามาประจำ การร่วมมือของภาคเอกชนครั้งนี้ เป็นการรวบรวมสินค้าจากจีน ไทยไปยังเมียนมา และกลุ่ม BIMSTEC ทั้งส่งออกและนำเข้า จะทำให้เกิดความต่อเนื่องทางการค้า สามารถขนส่งได้ไกลขึ้นและประหยัดขึ้น สามารถดึงให้สินค้ามาใช้ท่าเรือระนองเพิ่มขึ้น และท่าเรือระนอง ยังสามารถทำหน้าที่เตรียมเป็นพื้นที่ต้นแบบ (Sandbox) ให้กับโครงการแลนด์บริดจ์ในเชิงนโยบายและปฏิบัติการ โดยเป็นฐานทดลองระบบโลจิสติกส์หลายด้าน อีกด้วย”
ท่าเรือระนองมีศักยภาพรองรับการขนส่งสินค้าทั้งตู้คอนเทนเนอร์และสินค้าทั่วไป โดยมีผลการดำเนินงานในรอบ 11 เดือน (ตุลาคม 2567 - สิงหาคม 2568) มีปริมาณตู้สินค้าผ่านท่า 6,300 ที.อี.ยู. สินค้าผ่านท่า 186,000 ตัน และเรือผ่านท่า 235 เที่ยว โดยคาดjการณ์ว่าตลอดทั้งปีงบประมาณ 2568 นี้ จะมีปริมาณตู้สินค้าผ่านท่า 6,400 ที.อี.ยู. เพิ่มขึ้น 140% และสินค้าผ่านท่า 196,000 ตัน ลดลง 39% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แม้ปริมาณสินค้าทั่วไปจะปรับตัวลดลงจากการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากประเทศเมียนมา แต่ในภาพรวมยังคงมีสินค้าที่มีการส่งออกเพิ่มขึ้น เช่น กระดาษม้วน ปูนซีเมนต์ อุปกรณ์สุขภัณฑ์ ปุ๋ย เม็ดพลาสติก ยางรถยนต์ เป็นต้น อีกทั้งการขยายตัวของตู้สินค้า
“กทท.เข้าบริหารท่าเรือระนองตามมติครม. เมื่อวันที่ 25 มี.ค.2546 ตลอด 20 ปี ที่ผ่านมาผลดำเนินงานขาดทุน โดยเริ่มมีกำไรปี 2567 ประมาณ 3 แสนบาท และปี 2568 คาดมีกำไรเพิ่มเป็น 5 ล้านบาท
ท่าเรือระนองมีท่าเทียบเรือ 2 ท่า ได้แก่ ท่าเทียบเรืออเนกประสงค์ความยาว 134 เมตร รองรับเรือสินค้าไม่เกิน 500 ตันกรอส และท่าเทียบเรือตู้สินค้าความยาว 150 เมตร รองรับเรือสินค้าไม่เกิน 12,000 เดดเวทตัน อีกทั้งยังมีร่องน้ำกว้าง 120 เมตร ลึก 8 เมตร จากระดับน้ำลงต่ำสุด ระยะทาง 28 กิโลเมตร ซึ่งเหมาะสมต่อการเดินเรือและการขนส่งสินค้าขนาดใหญ่ นอกจากนี้ยังมีพื้นที่จัดเก็บสินค้าทั้งคลังสินค้า ลานวางสินค้าทั่วไป และลานวางตู้คอนเทนเนอร์ รวมพื้นที่มากกว่า 36,000 ตารางเมตร รองรับตู้คอนเทนเนอร์ได้สูงสุดถึง 648 ที.อี.ยู.
ทั้งนี้ตามโครงสร้างพื้นฐานและกายภาพของพื้นที่หลังท่า ลานวางตู้สินค้า มีลักษณะเป็นเนิน และมีร่องน้ำลึก 8 เมตร สภาพมีโขดหิน ทำให้มีขีดความสามารถรองรับตู้สินค้าได้จริงประมาณ 3.5 หมื่นที.อี.ยู. หรือประมาณ 40% ของขีดความสามารถที่ออกแบบไว้ตั้งแต่แรก ที่ 7.8 หมื่นที.อี.ยู ซึ่งคาดว่าการร่วมมือทางการตลาด และการกำหนดราคาที่จูงใจ จะเพิ่มปริมาณตู้สินค้า และเต็มขีดความสามารถได้ใน 5 ปี”
กทท.จึงเตรียมงบประมาณปี69 ประมาณ 30 ล้านบาท เพื่อซ่อมโมบายเครน และอาจจะเช่ามาให้บริการการยกตู้สินค้าอีกส่วนหนึ่งเพื่อลดต้นทุนให้เอกชน เนื่องจากปัจจุบันเครนที่มีชำรุด เอกชนต้องเช่ามาดำเนินการเองซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ต้นทุนสูง
@เอกชนจัดเรือ 5 ลำ เริ่มขนส่ง 2 เที่ยว /เดือน ก่อนขยายเป็น 4 เที่ยว
นางสาวณัฎฐา ธนกิจสถาพร ซีอีโอบริษัท ไทยทรานสปอร์ต เซ็นเตอร์ จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯได้ร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจเปิดโครงการเพื่อประชาสัมพันธ์ โดยมีแผนดำเนินธุรกิจการขนส่งสินค้าระยะที่ 1 ขนส่งไปยังเมียนมา และบังคลาเทศ 2 เที่ยว /เดือน โดยจะมีการศึกษาผลที่เกิดขึ้น จากนั้นจะมีการเพิ่มการขนส่งเป็น 1 เที่ยว/สัปดาห์ โดยปัจจุบัน บริษัทฯมีเรือจำนวน 3 ลำ และพันธมิตรอีก 2 ลำ รวม 5 ลำ ซึ่งสามารถให้บริการขนส่งได้1 เที่ยว/สัปดาห์ (ไป/กลับ)สามารถกำหนดเป็นตารางเดินเรือที่แน่นอน ให้ผู้ประกอบการสามารถวางแผนรวบรวมสินค้าและใช้บริการได้ โดยศักยภาพของเรือ ที่บรรทุก 70-80 ตู้ หากขนส่งสินค้า เช่น สินค้าอุปกรณ์ก่อสร้าง เหล็กมูลค่า 30-50 ล้านบาท/เที่ยว เชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นมูลค่าขนส่งของท่าเรือระนองให้เพิ่มขึ้นได้
ตามแผนงานกลางปี 2569 จะเพิ่มการขนส่งไปที่ 4 ท่าเรือ ได้แก่ ท่าเรือย่างกุ้ง (เมียนมา) ,ท่าเรือจิตตะกอง (บังคลาเทศ) ท่าเรือเจนไน (อินเดีย) ท่าเรือโคลัมโป( ศรีลังกา) และสร้างมูลค่าการขนส่งนับพันล้านบาทต่อเดือน
สำหรับท่าเรือระนอง แม้จะเล็กแต่มีความพร้อม ขณะที่ใช้เรือขนาด 5,000 - 7,000 ตัน การรวบรวมสินค้าต่อ 1 เที่ยวเรือ หรือเปลี่ยนถ่ายจะทำได้สะดวกกว่าเรือขนาดใหญ่ ส่วนการมีแลนด์บริดจ์ จะไม่มีผลกระทบแต่จะเป็นการส่งเสริม กรณีสินค้าต้องการความรวดเร็ว ใช้เวลา ขนส่งประมาณ 2 วัน รวบรวมสินค้า2-3 วัน เต็มลำสามารถไปที่เมียนมาหรือบังคลาเทศ ได้สะดวกกว่า
นายณัฐภูมิ เปาวรัตน์ ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการค้าพัฒนาธุรกิจและการลงทุน ของบริษัท เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) (SCGJWD) กล่าวว่า นอกจากท่าเรือระนองจะเป็นเกตุเวย์หลักในการขนส่งแล้วยังมีกรมศุลกากร สภาอุตฯ สภาหอการค้าต่างๆ ทั้ในประเทศไทย ในกลุ่ม BIMSTEC ละอินโดไชน่า ร่วมมือกันในการนำสินค้า และค้าขายระหว่างภูมิภาค โดยมีการท่าเรือฯ จะช่วยดึงความเชื่อมั่นว่าประเทศไทยจะเป็นฐานในการนำเข้า ส่งออกได้ นอกจากนี้ จังหวัดระนอง จะเกิดการสร้างงาน ในเซกตอร์ต่างๆ โรงงานแปรรูปอาหารทะเล ซึ่งจ.ระนองเป็นอันดับ 3 ของประเทศไทย ที่มีศักยภาพเป็นต้น และนำไปสู่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ