xs
xsm
sm
md
lg

ผู้นำในภาวะวิกฤต อนุทิน ถูกท้าทาย !?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เมืองไทย 360 องศา

หากโฟกัสเฉพาะบางพื้นที่ภาคใต้ในจุดที่เคยน้ำท่วมหนักๆ อย่างเช่น อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา โดยรวมแล้วระดับลดลงมากแล้ว บางพื้นที่เข้าสู่ภาวะเกือบปกติแล้ว เชื่อว่าภายในสองสามวันนี้ระดับน้ำจะลดลงเป็นปกติ ยกเว้นในพื้นที่ที่เป็นลุ่มต่ำ ยังต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง ซึ่งข้อดีของภาคใต้ก็คือสามารถระบายน้ำลงทะเลได้เร็วกว่าพื้นที่ภาคอื่น อย่างไรก็ดียังมีอีกหลายพื้นที่ หลายจังหวัดล่างลงไป ตั้งแต่ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสตูล ที่ยังถือว่าหนัก แต่จากรายงานสภาพอากาศของกรมอุตุนิยมวิทยาระบุว่า ภายในสองสามวันนี้ฝนจะลดลง นั่นถือว่าเป็นข่าวดี

วกกลับมาที่น้ำท่วมหาดใหญ่ และในจังหวัดสงขลาอีกหลายอำเภอถือว่าครั้งนี้ “สาหัสที่สุด” เท่าที่เคยเห็นมา ทั้งเรื่องปริมาณน้ำฝนที่มากผิดปกติ ทั้งสภาพพื้นที่ที่ว่ากันว่าเป็น “แอ่งกระทะ” อีกทั้งสภาพของเมืองหาดใหญ่เป็นพื้นที่เมืองใหญ่ พื้นที่กว้าง เป็นพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญในภาคใต้ตอนล่าง เมื่อสภาพพื้นที่เป็นแบบนี้ ปริมาณน้ำมากมายมหาศาล ทำให้ระดับน้ำท่วมสูงขึ้นแบบที่ไม่เคยเจอมาก่อน ความเสียหายย่อมต้องเหนือจินตนาการ

อย่างไรก็ดี เมื่อสภาพน้ำท่วมที่หนักสาหัสแบบนี้ อีกด้านหนึ่งก็ต้องเป็นการพิสูจน์ “ภาวะผู้นำ” โดยเฉพาะ “ผู้นำในภาวะวิกฤต” ของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ว่า “สอบผ่าน” หรือ พึ่งพา ได้หรือไม่ แน่นอนว่าในสถานการณ์ที่ “โกลาหล” เช่นที่ผ่านมา ย่อมต้องมีผู้นำที่บริหารจัดการที่เด็ดขาด มีประสิทธิภาพ รวมทั้งไม่สร้างความสับสนให้กับผู้ปฏิบัติงาน ที่รับคำสั่ง ซึ่งในความหมายก็คืออาจไม่จำเป็นต้องลงไป “ชี้นิ้ว” สั่งการในพื้นที่ก็ได้

แน่นอนว่า ในช่วงสามสี่วันที่ผ่านมา นายอนุทิน ถูกวิจารณ์ไม่น้อยในเรื่องการออกคำสั่ง ทั้งในเรื่องตั้งหน่วยงานที่การบริหารจัดการใน “หน้างาน” การประสานงานยังทำได้ไม่ดีพอ ทำให้การช่วยเหลือทำได้ไม่เป็นเอกภาพ และผลที่ปรากฏออกมาคือ ต่างคนต่างทำ การช่วยไม่สามารถเข้าถึงได้ทั่วถึง

อย่างไรก็ดี ในสถานการณ์วิกฤตแบบนั้น ความโกลาหลย่อมต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ยิ่งในช่วงของ “ความเป็นความตาย” เป็นนาทีชีวิต ความตึงเครียดย่อมต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดา การ “กล่าวโทษ” ด่าทอ วิพากษ์วิจารณ์ ย่อมเข้าใจได้ แต่ความมีประสิทธิภาพหรือไม่ ก็ต้องวัดกันว่าเสียงวิจารณ์เหล่านั้นจะเบาลง และค่อยๆ เงียบลงไปหรือไม่ หรือว่าหากออกมาแบบตรงกันข้ามก็จะเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่า เขาล้มเหลว

และยิ่งในภาวะที่ “โซเชียล” ไปเร็ว ย่อมต้องมีหลายแง่มุม หลากหลายอารมณ์ที่ใส่กันเข้ามา ยิ่งต้องบริหารจัดการให้เร็วๆที่สุด ต้องไม่ชี้แจงแบบใช้อารมณ์ไม่เช่นนั้นสถานการณ์จะยิ่งบานปลายไปกันใหญ่ จะเกิดภาพลบมากขึ้นไปอีก

ขณะเดียวกัน อย่างที่บอกว่าหลังจาก “น้ำลด” หลายอย่างก็จะผุดขึ้นมาให้เห็น โดยเฉพาะ “ภาพลบ” จะทยอยออกมาให้เห็น แต่ที่น่าคิดก็คือเหตุการณ์น้ำท่วมใต้เที่ยวนี้ แม้พยายามเข้าใจอารมณ์ถึงความเดือดร้อนของชาวบ้านผู้ประสบภัย แต่ภาพที่ปรากฏทางโซเชียล ก็ทำลายความรู้สึกของคนไทยที่เฝ้ามองอยู่ ภาพที่มีเสียงต่อว่า ด่าทอ รวมถึงการยิงไล่หลังหน่วยกู้ภัย ในบางพื้นที่ของหาดใหญ่ ได้ทำลายภาพลักษณ์ไปไม่น้อย ซึ่งเป็นภาพที่ยังไม่เคยเห็นในเหตุการณ์ภัยพิบัติที่ไหนมาก่อนเลย

นั่นคือ ภาพที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้กับมหาอุทกภัยในภาคใต้ โดยเฉพาะ จังหวัดสงขลา และอำเภอหาดใหญ่ อย่างไรก็ดีหลังจากที่ภาพรวมจะเห็นว่าระดับน้ำเริ่มลดลงเรื่อยๆ ทุกอย่างก็จะอยู่ในช่วงของภาวะการฟื้นฟู ก็จะเป็นบทพิสูจน์อีกครั้งของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีว่าจะสามารถ “แก้ตัว” ได้หรือไม่

ล่าสุดเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน นายอนุทิน แถลงผลประชุมบูรณาการการช่วยเหลือ เยียวยา และฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ ว่า วันนี้ได้ประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการหามาตรการให้ความช่วยเหลือ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ประกอบการและภาคธุรกิจ ตลอดจนหามาตรการในการช่วยเหลือพี่น้องผู้ประสบภัยในพื้นที่ประสบเหตุอุทกภัย โดยเฉพาะที่ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ซึ่งวันนี้ได้ประชุมร่วมกับหลายหน่วยงาน โดยผู้รับผิดชอบแต่ละกระทรวงจะได้ชี้แจงให้สื่อและประชาชนรับทราบ

นายกรัฐมนตรี กล่าวย้ำว่า ได้เน้นเรื่องการเยียวยาและให้ความช่วยเหลือทางด้านเศรษฐกิจให้กับผู้ประสบความเดือดร้อน ไม่ว่าจะเป็นบุคคลหรือนิติบุคคล ส่วนเรื่องการให้ความช่วยเหลือในส่วนความปลอดภัย ชีวิตการดำรงชีพของประชาชนในขณะที่เกิดเหตุนั้น ตนเองได้เดินทางลงในพื้นที่เกิดเหตุอยู่ตลอดเวลาได้มีการประสานงานกับฝ่ายปกครองฝ่ายตำรวจ ทหาร ฝ่ายความมั่นคงต่างๆ ซึ่งตอนนี้ในพื้นที่ได้มีการระดมสรรพกำลังทรัพยากรทุกอย่างลงในพื้นที่ โดยมีผู้บัญชาการทหารสูงสุดอำนวยการการ อยู่ในพื้นที่อย่างเรียบร้อย แล้ววันนี้เป็นการจัดงบประมาณในการช่วยเหลือ ซึ่งได้รับความร่วมมืออย่างดีจากทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน กระทรวงดีอี สำนักนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานต่างๆ เช่น คปภ.เรื่องประกันภัยที่จะต้องดูแลเรื่องจ่ายค่าประกันภัยความเสียหายต่างๆ ให้กับประชาชนในพื้นที่เกิดเหตุ โดยเน้นให้การดำเนินการเหล่านี้เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด

นอกจากนี้ จะมีมาตรการช่วยเหลือด้านการเงิน ลดหย่อนภาษี พักชำระหนี้การให้สินเชื่อที่ไม่มีดอกเบี้ย เพื่อซ่อมแซมบ้านเรือนร้านค้า ฟื้นฟู และลดค่าใช้จ่ายให้กับประชาชนในในพื้นที่เกิดเหตุให้ดำรงชีวิตต่อไป โดยที่ประชุมขอบคุณกระทรวงแรงงานในการให้ความร่วมมือช่วยเหลือพี่น้องประชาชนให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น

นั่นคือแนวทางการช่วยเหลือฟื้นฟูประชาชน และบูรณะซ่อมแซมความเสียหาย ที่จะต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก และที่สำคัญจะต้องไม่เกิดเสียงวิจารณ์ตามมาอีก ทั้งในเรื่องของการ “ทุจริต” ไม่ถึงมือชาวบ้านหรือไม่ทั่วถึง การช่วยเหลือแบบ “หาเสียง” จากบางพรรคการเมือง ซึ่งเชื่อว่าเรื่องดังกล่าวเหล่านี้จะต้องเกิดขึ้นตามมาแน่นอน เพราะนี่คือประเทศไทยที่ต้องมีเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่านี่คือบทพสูจน์ นายอนุทิน ชาญวีระกูล ว่าจะสามารถพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสได้อย่างทันท่วงทีหรือเปล่า โดยเฉพาะภาวะผู้นำในภาวะวิกฤต จะทำได้หรือเปล่า เพราะย่อมมีผลต่อการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่นานอีกด้วย !!


กำลังโหลดความคิดเห็น