“อนุทิน” ปาฐกถาพิเศษชี้ 4 ปีอนาคตไทย ขึ้นอยู่กับใครเป็นรัฐบาล ยันปัญหาชายแดน-กัมพูชาจบแน่ ย้ำความมั่นคงทางเศรษฐกิจขึ้นอยู่กับเสถียรภาพทางการเมือง ลั่นยุบสภาแน่นอน เข็นคนละครึ่งพลัส เฟส 2 ให้ทันก่อนยุบสภา
เมื่อเวลา 21.10 วันที่ 24 พ.ย.นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย กล่าวปาฐกถาพิเศษในงาน Dinner Talk ภายใต้หัวข้อ “THAILAND THE NEXT 4 YEAR” ประเทศไทยจะก้าวไปในทิศทางใด ว่า จากสถานการณ์อุทกภัยภาคใต้ ที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ถือเป็นวิกฤตสูงสุดในรอบ 15 ปี ทำให้ต้องมาคิดว่า คำว่าความมั่นคงทางอาหารมีความสำคัญเมื่อเกิดเหตุการณ์ ในพื้นที่หาดใหญ่ไม่ถึง10 ชั่วโมง ทำให้ไม่สามารถหาอาหารและวัตถุดิบเข้าไม่ได้เรื่องนี้ต้องให้ความสำคัญวางแผนรับมือ
นายอนุทิน กล่าวว่า อนาคตประเทศไทยจะเป็นอย่างไรต้องบอกว่าขึ้นอยู่กับว่าอีก 4 ปี จะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับการเลือกตั้งและใครจะมาเป็นผู้นำ เพราะผู้นำแต่ละคนมีวิธีการขับเคลื่อนและนโยบายให้กับประเทศไปคนละทางซึ่งภาพจบอาจไม่ตรงกัน ในมุมมองของตน4ปีต่อจากนี้ ถ้าอยู่บนเงื่อนไขที่ตนเป็นนายกฯอยู่สามารถพูดแทนได้ แต่ถ้าเป็นคนอื่นก็พูดแทนไม่ได้ แต่มองว่า 4 ปีข้างหน้าสำหรับประเทศไทยถ้าไม่ปังคงพัง เพราะโลกเปลี่ยนแปลงด้วยความรวดเร็ว หากเรายืนผิดที่อาจเจอกับสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ได้ เพราะในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ การยืนผิดที่ คือไปอิงแอบกับฝ่ายใดมากเกินไป หรือกระโดดไปมาตามกระแส แต่การยืนถูกที่คือยืนให้เด่นและให้โลกรู้คุณค่าของประเทศไทยว่าอยู่ตรงไหนโดยเราเป็นตัวเชื่อมและเป็นสะพานสร้างความมั่นคง ทั้งเรื่องสุขภาพ อาหาร ตรงนี้สะท้อนการทำงานของตนที่ต้องเดินทางสายกลางและมีดีในตัวเอง ถ้ากระโดดไปมาโดยไม่มีความมั่นคงคนที่จะเหนื่อยคือเราเพราะมัวแต่กระโดดและไปอิงกับใครมากไป เราต้องหาจุดแข็งในการดีลกับประเทศต่างๆ ประเทศไทยต้องยืนให้ถูก ให้เห็นว่าเราพร้อมร่วมมือกับทุกฝ่าย โดยประโยชน์สูงสุดต้องเกิดกับประเทศไทย และเอื้อเลือกประโยชน์ซึ่งกันและกัน
การทำงานในเวลาที่น้อย ได้พบกับผู้นำหลายประเทศ เพราะประเทศนั้นๆ และพบเอกอัครราชทูตประเทศต่างๆ เพราะถือว่าเป็นประตูของประเทศนั้น เมื่อเราพบกับมือหนึ่งขององค์กร ไม่มีทางเดินมือเปล่าออกมาขึ้นอยู่กับว่าจะได้มากหรือน้อย โดยเราเสนอเรื่องความมั่นคงทางอาหารเมื่อเกิดภัยพิบัติในต่างประเทศสามารถส่งวัตถุดิบไปได้ทันที
นายกฯ กล่าวว่า นอกจากนั้นเสถียรภาพทางการเมือง คือเงื่อนไขความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ยืนยันปีหน้ามีการเลือกตั้งแน่นอน เพราะคนเสนอยุบสภาคือตน และต้องยุบตามสัญญาเอ็มโอเอกับพรรคประชาชน ไม่เกินวันที่ 31 ม.ค. แต่หลายคนยังทนไม่ได้อยากจะให้ยุบ ต้องบอกว่าถ้าไปไม่ได้ก็แค่คืนอำนาจให้ประชาชนตัดสินใจว่าจะให้ประเทศไทยเดินหน้าอย่างไรหากก่อนวันที่ 31 ม.ค.2569 สิ่งที่สามารถทำได้ในยุคที่ตนเป็นหัวหน้ารัฐบาลคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ต้องพยายามทำให้ได้ เพราะพรรคประชาชนยอมให้เป็นนายกฯเพื่อแก้รัฐธรรมนูญให้เป็นไปตามมาตรฐาน ไม่ต้องมาเถียงกันว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ดีหรือไม่ดี หรือมาจากการทำรัฐประหาร แต่ถ้าไม่ยุบสภาวาระ3จะเรียบร้อย ตั้งกรรมการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาได้ แต่ถ้ายุบก่อนเรื่องนี้ก็จะไม่มีอีกแล้ว ต้องอยู่กับนี้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ จนกว่าจะมีกลไก ให้รัฐธรรมนูญฉบับนี้สิ้นสุดไป ซึ่งไม่เป็นพื้นฐานที่ดีสำหรับการพัฒนาประเทศไทย ดังนั้นเมื่อการเมืองมีเสถียรภาพ จะผลักดันเรื่องของการศึกษา ที่ยังมีความเหลื่อมล้ำและยังไม่เปลี่ยนแปลง นอกจากนั้นยังต้องส่งเสริมผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ให้เข้าถึงแหล่งเงิน และโครงการคนละครึ่งพลัส เพื่อจะสามารถกระตุ้นตรงนี้ให้ได้ แม้จะยุบสภาเร็ว ก็ต้องเอาเฟส 2 ออกมาให้ได้ก่อน ตรงนี้ไม่ใช่การหาเสียงแต่ช่วยกาให้ก็ไม่ว่าอะไร
นายกฯ กล่าวว่า ด้านการต่างประเทศ 4 ปีข้างหน้าปัญหาไทย-กัมพูชา ต้องจบเพราะความขัดแย้งเรื้อรังไม่เป็นผลดีกับใครทั้งสิ้น โดยทำให้สถานการณ์กลับมาอยู่ในลู่ทางที่ควรเป็นและได้ความร่วมมือจากประเทศคู่ขัดแย้ง โดยใช้เทคโนโลยีในการปักหมุดแก้ปัญหาที่ต้นตอแก้สาเหตุโดยใช้วิทยาศาสตร์เข้ามาช่วยให้เกิดการยอมรับไม่ทิ้งให้เป็นภาระของลูกหลานหรือตัวเองในอนาคต โดยตั้งเป้าว่า4ปีข้างหน้าความสัมพันธ์ของไทยกับเพื่อนบ้านจะดำเนินนโยบายต่างประเทศเป็นไปในทางบวก จะไม่เก็บปัญหาไว้บั่นทอนความเจริญก้าวหน้าของต่อไป
ขณะที่เรื่องของกฎหมายได้ให้นโยบายว่าต้องคุ้มครองสิทธิเสรีภาพประชาชนและต้องเอื้อต่อการทำธุรกิจให้สะดวกรวดเร็ว เป็นกฎหมายที่มีคุณภาพ เร่งแก้กฎหมายกิโยติน เพราะก่อนหน้านี้รู้สึกตกใจคือขนาดของธนาคารที่ใหญ่ที่สุดของไทย ยังเล็กกว่าของเวียดนามเกือบ 2 เท่าตัว แต่จะไปโทษคุณโทนี่ คุณอาทิตย์ หรือโทษใครก็คงไม่ใช่ เพราะต้องยอมรับว่าเรามีเสน่ห์ในการดึงดูดนักลงทุนน้อย เพราะยังติดขัดในเรื่องของกฎหมายในการอำนวยความสะดวกในการลงทุน แต่ตนเชื่อว่าเรายังมีศักยภาพในการขับเคลื่อนไปได้ โดยทำให้ถูกกฎหมาย ให้เคารพในนิติบุคคล ไม่ออกกฏหมายพร่ำเพรื่อและบ้าอำนาจ และออกกฏหมายไม่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้รับผลกระทบ โดยเสนอลดอำนาจรัฐ เพื่ออำนาจประชาชน เมื่อก่อนเป็นพรรคบ้านนอกไม่มีใครฟัง แต่เมื่อได้เข้ามาแล้วต้องการทำสิ่งนี้ให้เกิดขึ้น เพื่อผู้ประกอบการไทยและเศรษฐกิจไทย ดำเนินไปอย่างมั่นคง และรัฐบาลตนไม่มีผู้นำฝึกงาน ทุกคนมีใบรับรอง หมดมีความรู้และมีคุณสมบัติ มีบารมีที่จะขับเคลื่อนองค์กรต่อไป



