ป.ป.ช.ชี้มูลพันโทหญิง อดีต ขรก.กองทัพบก ผิดอาญา-วินัยร้ายแรง ปลอมบัญชี e-pension ขโมยเงินบำเหน็จบำนาญทหาร 230 ล้านเข้าบัญชีตัวเอง
วันนี้ (19 พ.ย.) นายสุรพงษ์ อินทรถาวร รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช.รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. แถลงว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดพันโทหญิง ดวงรัตน์ แร่ทองขาว หรือน.ส.ธนัน อัตถทัสสีกุล เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งประจำแผนกเบี้ยหวัด บําเหน็จ บํานาญ และหัวหน้าแผนกควบคุมเบี้ยหวัด บําเหน็จ บํานาญ กองเบี้ยหวัด บําเหน็จบำนาญ กรมการเงินทหารบก กองทัพบก กับพวก กรณีเปลี่ยนแปลงและอนุมัติหมายเลขบัญชีผู้รับเงินเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญและเงินอื่นที่จ่ายในระบบ e-pension ให้เป็นเลขที่บัญชีของตนเองและบัญชีของนายธนู วิเชียรเชื้อ ระหว่างปี พ.ศ. 2555 – 2563 จำนวน 572 ครั้ง รวมเป็นเงินจำนวน 230,841,834.38 บาท นำไปหมุนเวียนใช้เป็นประโยชน์ส่วนตน
โดยข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า ในระหว่างปี พ.ศ. 2555 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 ขณะที่พันโทหญิง ดำรงตำแหน่งประจำแผนกเบี้ยหวัด บําเหน็จ บํานาญ และตำแหน่งหัวหน้าแผนกควบคุมเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ กองเบี้ยหวัด บําเหน็จ บํานาญ กรมการเงินทหารบก กองทัพบก มีหน้าที่บันทึกข้อมูลของผู้ขอรับเงินเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ และเงินอื่น ๆ ลงใน ระบบ e-pension ของกรมบัญชีกลาง ได้อาศัยโอกาสที่ตนได้รับมอบหมายจากพันโทหญิงวิมลฉวี ม้าถาวร หัวหน้าแผนกเบี้ยหวัด ให้เข้าใช้รหัสผู้ใช้ (User ID) และรหัสผ่าน (Password) ของผู้อนุมัติ อนุมัติเบิกเงิน ในระบบ e-pension ให้แก่ผู้มีสิทธิ ในกรณีที่พันโทหญิง วิมลฉวี ลาหรือมีภารกิจอื่นเป็นครั้งคราว จึงทำให้ทราบรหัสผ่าน (Password) หรือสุ่มเดารหัสผ่าน (Password) ของผู้อนุมัติในระบบ e-pension แล้วกระทำการเปลี่ยนแปลงบัญชีผู้รับเงินในระบบ e-pension ให้เป็นบัญชีของตนเอง และบัญชีของ นายธนู วิเชียรเชื้อ คู่สมรส รวมจำนวน 572 ครั้ง มียอดเงินที่ได้รับจากกรมบัญชีกลางนำไปหมุนเวียน ใช้ประโยชน์ส่วนตน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 230,841,834.38 บาท
โดย ป.ป.ช. พิจารณาแล้วเห็นว่าการกระทำของพันโทหญิง ดวงรัตน์ มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 มาตรา 157 มาตรา 161 มาตรา 264 มาตรา 265 และมาตรา 268พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตพ.ศ. 2561 มาตรา 172 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง
ส่วนการกระทำของนายธนู วิเชียรเชื้อ ซึ่งขณะเกิดเหตุรับราชการในสังกัดกรมการขนส่งทหารเรือ และกรมช่างโยธาทหารเรือ มีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำความผิด และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง สำหรับการกระทำของพันโทหญิง วิมลฉวี จากการไต่สวนเบื้องต้น ข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานยังไม่เพียงพอที่จะฟังได้ว่า ได้กระทำความผิดทางอาญาตามที่กล่าวหา ข้อกล่าวหาทางอาญาไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหาตกไป แต่การที่พันโทหญิง วิมลฉวี ไม่ใช้ความระมัดระวังในการเก็บรักษา password จนเกิดความเสียหายต่อทางราชการ จึงมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง
สำหรับการกระทำของ พันเอก อนุสรณ์ คุ้มอักษร เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการกองเบี้ยหวัด บําเหน็จ บำนาญ
จากการไต่สวนเบื้องต้น ข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานยังไม่เพียงพอที่จะฟังได้ว่าได้กระทำความผิดทางอาญาตามที่กล่าวหา ข้อกล่าวหาทางอาญาไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหาตกไป แต่การที่พันเอก อนุสรณ์ ไม่ตรวจสอบการปฏิบัติและไม่ควบคุมกำกับดูแล จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง จึงให้ส่งเรื่องให้ผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอำนาจแต่งตั้งถอดถอนดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจ ตามพ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 64 ทั้งนี้ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวนเอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัยไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี และส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน และคำวินิจฉัย ไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อดำเนินการทางวินัย ตามฐานความผิดดังกล่าว ตามพ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 91 (1) และ (2) และมาตรา 98 แล้วแต่กรณี และให้แจ้งกองทัพบก ดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจเพื่อให้มีการชดใช้ค่าเสียหายตามพ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 82 วรรคสอง ต่อไปด้วย


